แจก Template AI ใช้เช็กสุขภาพการเงิน ครบทุกด้านด้วยตัวเอง ในโพสต์เดียว

แจก Template AI ใช้เช็กสุขภาพการเงิน ครบทุกด้านด้วยตัวเอง ในโพสต์เดียว

8 ต.ค. 2025
สุขภาพการเงินก็เหมือนสุขภาพร่างกาย หากเราไม่ได้ตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เราก็อาจจะไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้กำลังมีปัญหาอยู่ 
เพราะปัญหาทางการเงินส่วนใหญ่มักไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่มันค่อย ๆ สะสมมาเรื่อย ๆ จากพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราอาจมองข้าม จนสุดท้ายอาจกลายเป็นระเบิดเวลาทางการเงิน
วันนี้ MONEY LAB เลยเอาเครื่องมือง่าย ๆ มาแชร์ให้ทุกคนได้ลองใช้กัน เพียงแค่กดลิงก์ แล้วกรอกตัวเลขไม่กี่ช่อง AI ก็จะคำนวณและวิเคราะห์ให้ทันที
เมื่อกรอกเสร็จแล้ว เราก็จะเห็นตัวเลขสำคัญทางการเงินของตัวเอง ครบทั้งด้านสภาพคล่อง ด้านหนี้สิน และการออม 
ผ่าน 5 อัตราส่วนทางการเงิน เริ่มจาก..
1. อัตราส่วนสภาพคล่องพื้นฐาน
คำนวณจาก 
สินทรัพย์สภาพคล่อง / ค่าใช้จ่ายต่อเดือน
อัตราส่วนนี้จะบอกเราว่า สภาพคล่องที่เรามีอยู่นั้น สามารถเอามาใช้จ่ายได้นานเท่าไร หากว่าวันหนึ่งเราไม่มีรายได้เข้ามาเลย
โดยเกณฑ์มาตรฐานเท่ากับ 3 ถึง 6 เดือน
หากผลลัพธ์ออกมาน้อยกว่าเกณฑ์ แสดงว่า เรามีความเสี่ยงที่จะขาดสภาพคล่องยามฉุกเฉิน เมื่อตกงาน เจ็บป่วย หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ดังนั้นควรสะสมเพิ่มให้ได้ตามเกณฑ์
แต่หากผลลัพธ์ออกมาสูงกว่าเกณฑ์มากเกินไป แม้จะดูปลอดภัย แต่ก็อย่าลืมพิจารณาเรื่องต้นทุนค่าเสียโอกาสด้วย เพราะเงินก้อนนั้นจะไม่ถูกนำไปต่อยอด หรือลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าได้
2. อัตราส่วนการชำระหนี้จากรายได้
คำนวณจาก  
เงินชำระคืนหนี้ต่อเดือน / รายได้รวมต่อเดือน
อัตราส่วนนี้จะบอกเราว่า รายได้ที่เราได้รับในแต่ละเดือนนั้น ถูกใช้ไปกับการชำระหนี้มากน้อยแค่ไหน
โดยเกณฑ์มาตรฐาน ควรต่ำกว่า 35% และไม่ควรเกิน 45%
หากผลลัพธ์ออกมาต่ำกว่า 35% นั่นแสดงว่า การผ่อนชำระหนี้ของเราอยู่ในระดับที่ปลอดภัย และมีโอกาสที่จะผิดนัดชำระหนี้ค่อนข้างต่ำ
หากอยู่ระหว่าง 35 ถึง 45% แสดงว่า การผ่อนชำระหนี้ของเราเริ่มตึงตัว ดังนั้นเราจึงไม่ควรก่อหนี้เพิ่มเติมอีกถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ และควรเริ่มวางแผนลดหนี้ลง
แต่หากมากกว่า 45% นั่นแสดงว่า เรามีภาระหนี้สูง ซึ่งเสี่ยงต่อการขาดสภาพคล่อง และยังมีความเสี่ยงเรื่องปัญหาการชำระหนี้ในอนาคตอีกด้วย
3. อัตราส่วนการชำระหนี้ที่ไม่ใช่การจดจำนองจากรายได้
คำนวณจาก 
เงินชำระคืนหนี้ที่ไม่รวมหนี้บ้านหรือคอนโดฯ / รายได้รวมต่อเดือน
อัตราส่วนนี้จะบอกเราว่า รายได้ที่เราได้รับในแต่ละเดือนนั้น ถูกนำไปใช้กับการชำระหนี้นอกเหนือจากหนี้บ้านหรือคอนโดฯ มากน้อยแค่ไหน 
ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเราว่า อยู่ในระดับที่พอดีหรือเริ่มฟุ่มเฟือยไปแล้ว
โดยเกณฑ์มาตรฐาน ควรต่ำกว่า 15 ถึง 20%
หากผลลัพธ์ต่ำกว่า 15% นั่นแสดงว่า เราผ่อนชำระหนี้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
และหากอยู่ระหว่าง 15 ถึง 20% แสดงว่า ภาระการผ่อนชำระหนี้ของเราเริ่มจะตึงตัว ดังนั้นเราไม่ควรก่อหนี้เพิ่มอีก
แต่หากมากกว่า 20% นั่นแสดงว่า ภาระการผ่อนชำระหนี้สูง ซึ่งอาจกระทบต่อการออมและเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวของเราได้
4. อัตราส่วนการออม 
คำนวณจาก
เงินออมและลงทุนต่อเดือน / รายได้รวมต่อเดือน
อัตราส่วนนี้จะบอกเราว่า เรากันรายได้ส่วนหนึ่งไว้เพื่อออมหรือลงทุนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
โดยเกณฑ์มาตรฐาน มากกว่า 10%
หากต่ำกว่า 10% นั่นแสดงว่า ระดับการออมของเรายังน้อยเกินไป ควรวางแผนเพิ่มการออมและลงทุนให้มากขึ้น
และหากมากกว่า 10% นั่นแสดงว่า การออมของเราอยู่ในระดับที่ดีแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าเรามีวินัยทางการเงิน และยังหมายความว่า หากเรารักษาวินัยแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้เรามีโอกาสในการบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ง่ายขึ้น
5. อัตราส่วนการลงทุน
คำนวณจาก 
สินทรัพย์ลงทุน / ความมั่งคั่งสุทธิ
อัตราส่วนนี้จะบอกเราว่า จากความมั่งคั่งสุทธิทั้งหมดที่เรามี มีสัดส่วนเท่าไรที่เป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ อย่างเช่น หุ้น หุ้นกู้ กองทุน หรืออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน
โดยเกณฑ์มาตรฐาน มากกว่าหรือเท่ากับ 50%
หากน้อยกว่า 50% นั่นแสดงว่า เงินส่วนใหญ่ของเรายังนอนนิ่งอยู่ในสินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้ เช่น รถ บ้านที่อยู่อาศัย หรือเงินฝาก ดังนั้นเราควรพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนให้มากขึ้น
และหากมากกว่าหรือเท่ากับ 50% แสดงว่า เงินส่วนใหญ่ถูกจัดไปอยู่ในสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ ซึ่งจะทำให้เรามีโอกาสในการต่อยอดความมั่งคั่งในระยะยาวได้มากขึ้น
สรุปแล้ว การที่เราได้เห็นตัวเลขผ่าน 5 อัตราส่วนทางการเงินนี้ จะช่วยบอกเราได้ว่า ตอนนี้การเงินของเรายังแข็งแรงดีอยู่ หรือว่าจริง ๆ แล้วเริ่มมีสัญญาณเตือนที่ต้องรีบแก้ไขแล้ว
และหากเราเช็กแล้วพบว่ามีปัญหา ก็ให้ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละขั้นตอนตามลำดับความสำคัญ
โดยเริ่มจากการเพิ่มสภาพคล่องให้ถึงเกณฑ์อย่างน้อย 3-6 เดือน เพื่อเป็นกันชนสำหรับยามฉุกเฉิน
และเมื่อพื้นฐานมั่นคงแล้ว ขั้นต่อมาก็ให้ลดระดับหนี้ในส่วนของการใช้จ่ายให้ต่ำกว่า 15% ของรายได้ เพื่อไม่ให้ดอกเบี้ยกลายเป็นตัวฉุดรั้งการเงินของเราไปเรื่อย ๆ
จากนั้นจึงค่อยเพิ่มสัดส่วนการออมและการลงทุนให้มากกว่า 10% ของรายได้ เพื่อให้เงินของเราสามารถงอกเงยและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
และเมื่อเราดูแลสุขภาพการเงินให้แข็งแรงและสมดุลในทุกด้านแล้ว สิ่งที่เราได้ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ดูดีในกระดาษ
แต่มันคือ กันชนยามฉุกเฉิน ทางเลือกในการใช้ชีวิตตามที่ต้องการ และเส้นทางที่พาเราเข้าใกล้อิสรภาพทางการเงินมากขึ้นในทุกวัน..
#วางแผนการเงิน
#AI
#สุขภาพการเงิน
Reference
- หนังสือหลักสูตรวางแผนการเงิน ชุดวิชาที่ 1 พื้นฐานการวางแผนการเงิน โดย ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.