แจกฟรี Template คำนวณภาษี พร้อมสรุป วิธีคำนวณภาษีแบบจับมือทำ

แจกฟรี Template คำนวณภาษี พร้อมสรุป วิธีคำนวณภาษีแบบจับมือทำ

10 ต.ค. 2025
ในช่วงใกล้ปลายปีแบบนี้ ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่คนมีรายได้ ต้องเตรียมพร้อมวางแผนภาษี ที่จะต้องจ่ายในช่วงต้นปีหน้ากัน
ถ้าเราคำนวณภาษีเองเป็น และวางแผนจัดการเรื่องค่าลดหย่อนได้เป็นอย่างดี ก็จะทำให้เราประหยัดเงินที่ต้องจ่ายภาษี ไปได้อีกหลายบาทเลย
แล้ววิธีการคำนวณภาษีด้วยตัวเอง มีขั้นตอนอย่างไร และทำไม เมื่อเรารู้จักวิธีใช้ประโยชน์ จากการลดหย่อนภาษี จะช่วยให้เรามีเงินเหลือมากขึ้น
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
การคำนวณภาษีที่เราจะต้องจ่ายนั้น จะประกอบไปด้วย 2 ขั้นตอนหลัก
ขั้นตอนที่ 1 : คำนวณหา “เงินได้สุทธิ”
เงินได้สุทธิ = รายได้รวม - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน
เงินได้สุทธิ ก็คือเงินได้ที่คงเหลืออยู่ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ตามสิทธิที่รัฐบาลกำหนดให้ ไปหมดแล้ว 
โดยต่อไป เงินก้อนที่เหลืออยู่นี้ จะต้องถูกนำไปคำนวณภาษี ที่เราจะต้องจ่าย
ขั้นตอนที่ 2 : คำนวณหา “ภาษีที่เราต้องจ่าย”
ภาษีที่เราต้องจ่าย = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี
สำหรับประเทศไทย การคำนวณภาษี จะเป็นการคำนวณแบบขั้นบันได ที่ทำให้อัตราภาษีที่แต่ละคนจะต้องจ่าย จะไม่เท่ากัน
คนที่มีเงินได้สุทธิมาก จะต้องจ่ายภาษี ในอัตราภาษีที่มากกว่า คนที่มีเงินได้สุทธิน้อย
ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างจริง จากคุณ A กันบ้างดีกว่า โดยสมมติว่า คุณ A อายุ 30 ปี ยังโสด และทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชน
- โดยมีเงินเดือน 30,000 บาทต่อเดือน เท่ากับ 360,000 ต่อปี
- โบนัส 2 เดือน คิดเป็น 60,000 บาทต่อปี
ดังนั้น พอรวมรายได้ทั้งปี จะเท่ากับ 420,000 บาท
- หักเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 3% ของเงินเดือน เท่ากับ 900 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 10,800 บาทต่อปี
ถ้าคุณ A ไม่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมเลย เงินได้สุทธิของคุณ A จะคำนวณจาก
รายได้รวม 420,000 บาท - ค่าใช้จ่ายตามสิทธิ 100,000 บาท - ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท - ประกันสังคม 9,000 บาท - หักเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 10,800 บาท
ซึ่งจะเท่ากับ 240,200 บาท โดยจะตกอยู่ในขั้นบันไดภาษี ที่จะต้องจ่าย ในอัตราที่ 5%
ส่วนการคำนวณจำนวนเงินภาษีที่คุณ A จะต้องจ่าย เป็นแบบนี้
(240,200 บาท - ส่วนที่ได้รับการยกเว้นภาษีในขั้นแรก 150,000 บาท) x 5% = 4,510 บาท
หมายความว่า ถ้าคุณ A ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการหักเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แค่ส่วนเดียว คุณ A จะต้องจ่ายภาษีทั้งหมด 4,510 บาท
แล้วถ้าสมมติว่า คุณ A ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม ด้วยการซื้อกองทุน RMF ล่ะ ภาษีที่จะต้องจ่าย จะเหลือเท่าไร ?
สมมติว่า คุณ A ซื้อกองทุน RMF เพิ่มเดือนละ 2,000 บาท หรือคิดเป็น 24,000 บาทต่อปี
ทีนี้ เงินได้สุทธิก็จะกลายเป็น 216,200 บาท จากการมีค่าลดหย่อนจากกองทุน RMF มาหักเงินได้สุทธิออกไปอีก 24,000 บาท 
ทำให้เมื่อไปคำนวณภาษีด้วยวิธีเดิม
(216,200 บาท - ส่วนที่ได้รับการยกเว้นภาษีในขั้นแรก 150,000 บาท) x 5% = 3,310 บาท
จะเห็นได้ว่าจำนวนเงินภาษีที่คุณ A จะต้องจ่าย จะเหลือเพียง 3,310 บาทเท่านั้น
ทำให้การตัดสินใจซื้อกองทุน RMF ของคุณ A นอกจากจะทำให้คุณ A มีเงินออมเพิ่มขึ้นถึงปีละ 24,000 บาทแล้ว ก็ยังจะช่วยให้ภาษีที่เขาต้องจ่ายเหลือน้อยลงด้วย
และเมื่อเวลาผ่านไป ถ้าคุณ A มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังใช้เครื่องมือในการช่วยลดหย่อนภาษีแบบนี้ต่อไป ให้เกิดประโยชน์
คุณ A ก็จะประหยัดภาษีที่ต้องจ่ายไปได้ เป็นเงินจำนวนไม่น้อย และพร้อมกันกับ การมีเงินเก็บออมสะสมในการลงทุนเพิ่มขึ้น ๆ
หากทำแบบนี้เป็นประจำทุกปี ทั้งส่วนของเงินลงทุน และผลตอบแทนจากการลงทุน ก็จะยิ่งแสดงความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น ได้รุนแรงยิ่งขึ้น
จนถึงวันที่เกษียณจากการทำงาน คุณ A ก็มีโอกาสจะกลายเป็นคนที่มั่งคั่งมาก ๆ ได้
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราคงเข้าใจถึงขั้นตอนในการคำนวณหาภาษี และเห็นความสำคัญถึงการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีกันดีขึ้นแล้ว
สรุปแล้ว วิธีการคำนวณภาษี จะมีขั้นตอนสำคัญ อยู่แค่เพียง 2 ข้อ
คือการรู้ว่า “เงินได้สุทธิ” เท่าไร และอยู่ในขั้นไหนของบันไดภาษี เราก็จะรู้จำนวนเงินภาษีที่เราต้องจ่ายแล้ว
และหากเรารู้จักวิธีใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะใช้สิทธิจากฝั่งการลงทุน, ทำประกัน หรือบริจาค
ก็จะยิ่งช่วยประหยัดเงินภาษีที่เราต้องจ่าย ไปได้ไม่น้อยเลย..
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.