
กรณีศึกษา ค่าเสียโอกาส 25,500,000,000 บาท ของ Google
1 ส.ค. 2025
ถ้าพูดถึงหนึ่งในบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน หลายคนน่าจะนึกถึง Google
เพราะ Google สามารถครองส่วนแบ่งตลาดค้นหาข้อมูลออนไลน์ (Search Engine) ทั่วโลกได้มากถึง 90%
ความเก่งระดับนี้ของ Google คือนิยามของคำว่า “Winner Take All” ที่หมายถึงบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง จนสามารถกินส่วนแบ่งตลาดไปเกือบทั้งหมดได้
แต่มีอยู่ประเทศหนึ่งที่ Google เคยเกือบจะครองตลาดได้สำเร็จ แต่ตัดสินใจผิดพลาด จนพ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งไป
ซึ่งประเทศแห่งนั้นก็คือ ประเทศจีน และคู่แข่งที่เอาชนะ Google ได้ คือ Baidu ที่ตอนนี้มีมูลค่าบริษัทประมาณ 980,000 ล้านบาท
แล้ว Google พลาดท่าให้กับ Baidu ได้อย่างไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
จุดเริ่มต้นของ Baidu เกิดจากชายหนุ่มชาวจีนคนหนึ่งที่ชื่อว่าคุณ Robin Li
ที่ตอนปี 1991 เขาได้รับทุนการศึกษาสำหรับการเรียนต่อปริญญาโทในสหรัฐอเมริกา ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัย State University of New York at Buffalo
จนเมื่อเขาเรียนจบในปี 1994 เขาตัดสินใจเข้าทำงานในสหรัฐอเมริกาต่อทันที ที่บริษัท Dow Jones and Company บริษัทสื่อสิ่งพิมพ์ เจ้าของหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal
ซึ่งในตอนนั้นบริษัทต้องการที่จะสร้างสื่อออนไลน์ คุณ Li จึงมีโอกาสเข้าไปช่วยพัฒนาโปรแกรมซอฟต์แวร์ของ The Wall Street Journal ในรูปแบบของหนังสือพิมพ์ออนไลน์ขึ้นมา
และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้พัฒนา Algorithm สำหรับการค้นหาข้อมูลที่ชื่อว่า RankDex ขึ้นมา จากนั้นเขาก็จดสิทธิบัตร Algorithm ที่เขาคิดค้นขึ้นมาในปี 1996
ในปีเดียวกันนั้นเองที่ Google ยื่นสิทธิบัตรสำหรับ Algorithm ค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า PageRank ด้วยเช่นกัน
อีก 3 ปีต่อมา เขาตัดสินใจกลับจีน และก่อตั้งบริษัท Baidu ขึ้นมากับผู้ร่วมก่อตั้งอีกคนคือคุณ Eric Xu โดยสามารถระดมทุนรอบแรกได้ 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงิน 74 ล้านบาทในปัจจุบัน
ในช่วงแรก Baidu ไม่ได้ทำเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลอย่างทุกวันนี้ แต่เป็นบริษัทที่ช่วยพัฒนาระบบการค้นหาข้อมูลให้กับเว็บไซต์อื่น ๆ ของจีน
แต่ไม่นานหลังจากนั้น บริษัทก็เปลี่ยนโมเดลธุรกิจ มาทำเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลโดยเฉพาะเอง
แน่นอนว่าการทำแบบนี้จะเปลี่ยนลูกค้าเก่าของบริษัท ให้กลายเป็นคู่แข่งทางธุรกิจทันที ไอเดียนี้จึงถูกต่อต้านจากนักลงทุน VC หลายรายในช่วงแรก
แต่คุณ Li ก็เชื่อมั่นว่าตลาด Search Engine ในจีนใหญ่มากพอสำหรับ Baidu จึงโน้มน้าวให้นักลงทุน VC เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจในครั้งนี้
Baidu เปิดเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลอย่างเป็นทางการในปี 2001 โดยโมเดลการหารายได้ของ Baidu ก็คือการเปิดให้ลูกค้าประมูลพื้นที่ในการโฆษณา จากนั้นก็จ่ายเงินให้กับ Baidu ทุกครั้ง เมื่อโฆษณาถูกคลิกเข้าไปดู
จากนั้น Baidu ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงปลายปี 2002 Baidu สามารถครองส่วนแบ่งตลาด Search Engine ในจีนได้มากถึง 50%
แซงหน้ายักษ์ใหญ่อย่าง Google ไปได้ และขึ้นเป็นผู้เล่นอันดับ 1 ในจีนอย่างรวดเร็ว
เหมือนคำที่ว่า ต่อต้านไม่ได้ก็เข้าร่วม Google ที่พ่ายแพ้ให้กับ Baidu ก็เริ่มเข้ามาเป็นผู้ระดมทุนให้ Baidu ในการระดมทุนซีรีส์ C ซึ่งเป็นการระดมทุนรอบที่ 3 ของ Baidu ในปี 2004
โดย Google ใส่เงินลงทุนใน Baidu ประมาณ 270 ล้านบาท เมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน แลกกับหุ้นประมาณ 2.6% ของ Baidu
ความตั้งใจของ Google ในการลงทุนใน Baidu ก็คือการเปลี่ยนคู่แข่ง ให้กลายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อที่ Google จะยังคงสามารถเกาะไปกับการเติบโตในตลาด Search Engine ของจีนได้
Baidu ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จนสามารถจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้น NASDAQ ได้สำเร็จในปี 2005 หรือเพียงแค่ 6 ปี นับจากการก่อตั้งบริษัท
แต่พอเวลาผ่านไปเพียงแค่ 2 ปี Google กลับเปลี่ยนใจ ขายหุ้น Baidu ทิ้งทั้งหมด ได้เงินไปประมาณ 3,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นผลตอบแทน 11 เท่า ก่อนจะกลับไปแข่งกับ Baidu อีกครั้ง
คราวนี้ Google เปิดเว็บไซต์ Google. cn ขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งเว็บไซต์นี้เป็นเว็บไซต์ที่ผ่านการเซนเซอร์ข้อมูลที่อ่อนไหวจากรัฐบาลจีนเรียบร้อยแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม Google ก็พ่ายแพ้ให้กับ Baidu อีกครั้งหนึ่ง..
โดย Google กล่าวอ้างว่ารัฐบาลจีนจงใจทำให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ใช้งานเว็บไซต์ของ Google ใช้เวลานานขึ้นในการค้นหาข้อมูล ผ่านระบบควบคุมอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า The Great Firewall
Google ที่ทนไม่ไหว จึงตัดสินใจเลิกทำธุรกิจในจีน ในปี 2010 โดยให้เหตุผลว่า การเซนเซอร์ข้อมูลจากรัฐบาลจีน และการถูกโจมตีทางไซเบอร์ เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ
ส่วน Baidu ในปัจจุบันก็กลายมาเป็นเว็บไซต์ Search Engine ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในจีนที่ประมาณ 81%
และมีมูลค่าบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 980,000 ล้านบาท
ถ้าวันนั้น Google ไม่ขายหุ้น Baidu ออกไปเปิด Google แข่งกับ Baidu อีกรอบ
ในวันนี้หุ้นที่ Google ถืออยู่ใน Baidu ก็น่าจะมีมูลค่าสูงถึง 25,500 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนถึง 94 เท่า
และถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ค่าเสียโอกาสของ Google อาจจะไม่ใช่เพียงแค่ผลตอบแทนจากการลงทุนเท่านั้น
แต่ยังรวมไปถึงสายสัมพันธ์กับ Baidu ที่ถ้ายังมีอยู่ ก็อาจจะเป็นช่องทางให้ Google หาประโยชน์จากตลาด Search Engine ของประเทศจีนต่อไปได้
ซึ่งค่าเสียโอกาสจากทั้ง 2 อย่างนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ Google ได้จากการลงทุนใน Baidu ภายในระยะเวลาแค่ 2 ปี ที่ดูเหมือนจะมหาศาล
กลับกลายเป็นการขายหมูครั้งมโหฬารของ Google แทน
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ ถ้าเราไม่อยากเสียโอกาสการลงทุนในการเติบโตของธุรกิจค้นหาข้อมูลของจีนอย่างบริษัท Baidu ก็สามารถลงทุนได้เลยผ่าน DR ที่ชื่อว่า BIDU01 และ BIDU80 ในตลาดหุ้นไทย..
หมายเหตุ : บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำให้ซื้อหรือขายหุ้นเหล่านี้ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน ก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
#ลงทุน
#DR
#DRวันละตัว
References
-https://medium.com/@zacharywestonintech/
-https://forbesthailand.com/world/technology/robin-li-gears-up-ai-system-make-baidu-more-powerful
-https://forbesthailand.com/world/technology/robin-li-gears-up-ai-system-make-baidu-more-powerful