อธิบายเกณฑ์ลดหย่อนภาษีแบบใหม่ ทำไมรายได้ต่างกันแค่ 1 บาท แต่ต้องเสียภาษีมากกว่ากันเท่าตัว

อธิบายเกณฑ์ลดหย่อนภาษีแบบใหม่ ทำไมรายได้ต่างกันแค่ 1 บาท แต่ต้องเสียภาษีมากกว่ากันเท่าตัว

8 ธ.ค. 2025
ในวันนี้คุณ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศว่ากำลังมีการเสนอเกณฑ์ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบใหม่ ให้ครม.พิจารณา
ก่อนนำมาประกาศใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป
ซึ่งเกณฑ์ลดหย่อนภาษีแบบใหม่นี้ กำลังทำให้ผู้ที่มีรายได้ต่อปี สูงกว่า 1,500,000 บาท ลดหย่อนภาษีได้น้อยลง 
ในขณะที่คนที่มีรายได้ต่อปี ไม่เกิน 1,500,000 บาท จะลดหย่อนภาษี ได้มากขึ้น
แต่ที่น่าสนใจก็คือ หากเกณฑ์ลดหย่อนภาษีนี้ ถูกนำมาใช้จริง กลุ่มคนที่มีรายได้มากกว่ากันแค่ 1 บาท อาจจะต้องเสียภาษีต่างกัน เป็นเท่าตัวเลย
แล้วเกณฑ์ลดหย่อนภาษีแบบใหม่ มีวิธีคำนวณอย่างไร ? 
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน ให้เข้าใจง่าย ๆ
โดยทางมาตรการลดหย่อนภาษีแบบใหม่นี้ สามารถสรุปรายละเอียดสำคัญ ออกมาได้เป็น 2 กรณีหลัก
- ผู้ที่มีรายได้ ไม่เกิน 1,500,000 บาทต่อปี
สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อหน่วยลงทุนทุกประเภท เช่น RMF และ Thai ESG มาใช้หักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คิดเป็น 1.3 เท่าของค่าใช้จ่ายในการซื้อหน่วยลงทุน แต่ไม่เกิน 800,000 บาทต่อปี
หรือก็คือ ถ้าเราซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีรวม 500,000 บาท เราก็จะสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้เท่ากับ
500,000 บาท x 1.3 เท่า = 650,000 บาท
- ผู้ที่มีรายได้ เกิน 1,500,000 บาทต่อปี
ในกรณีนี้ จะเหมือนกับกรณีแรกแทบทุกอย่าง แต่มีจุดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ คนกลุ่มนี้ จะสามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อหน่วยลงทุน มาลดหย่อนภาษี ได้แค่ 0.7 เท่า เท่านั้น
หรือก็คือ ถ้าซื้อกองทุนซื้อลดหย่อนภาษีรวม 500,000 บาท เราก็จะสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้เท่ากับ
500,000 บาท x 0.7 เท่า = 350,000 บาท
สำหรับมาตรการใหม่นี้ จะกำหนดไว้ว่า จะต้องถือครองหน่วยลงทุนไปจนกว่า จะอายุครบ 55 ปี ถึงจะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้
โดยต้องเปิดบัญชีการลงทุนแบบใหม่ที่ชื่อว่า TISA กับธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนก่อน จากนั้นก็ต้องซื้อขายหน่วยลงทุนผ่านบัญชีนี้ ถึงจะมีสิทธิลดหย่อนภาษีแบบนี้
และหากอายุเกิน 55 ปี ก็จะต้องถือหน่วยลงทุนไป ไม่ต่ำกว่า 5 ปี จึงจะขายคืนได้
ถึงตรงนี้ ก็อาจจะมีคนสงสัยว่า แล้วมาตรการใหม่นี้ จะส่งผลกระทบอย่างไร ต่อกลุ่มคนทั้ง 2 กลุ่มบ้าง
ทาง MONEY LAB ได้ลองนำเกณฑ์ดังกล่าว มาคำนวณดู พบว่า แค่มีรายได้ ต่างกันเพียง 1 บาท แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อคนทั้ง 2 กลุ่ม กลับต่างกันลิบลับเลย..
โดยเราจะแบ่งสถานการณ์ ออกเป็น 2 กรณี ดังต่อไปนี้
1. สำหรับกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 1,500,000 บาทต่อปี
ขอยกตัวอย่างผ่านคุณ A ที่มีรายได้ทั้งปี 1,500,000 บาทพอดี โดยให้มีค่าลดหย่อนตามปกติทั่วไป ประกอบด้วย
- หักค่าใช้จ่าย 100,000 บาท
- หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
- ค่าประกันสังคม 9,000 บาท
สมมติคุณ A มีเงินออมหลังใช้จ่ายในชีวิตประจำวันคิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งปี จะทำให้คุณ A มีเงินซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีรวม 500,000 บาท
ถ้าคุณ A ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีรวมทุกหมวดแล้ว เท่ากับ 500,000 บาท เพื่อนำมาใช้ลดหย่อนภาษี
ตามเกณฑ์แบบเดิม จะทำให้คุณ A มีเงินได้สุทธิ ที่จะใช้ในการคำนวณภาษีที่ต้องจ่ายต่อไป เท่ากับ
เงินได้สุทธิของคุณ A ก่อนมีมาตรการใหม่ = 1,500,000 - 100,000 - 60,000 - 9,000 - 500,000 = 831,000 บาท
โดย 831,000 บาทนี้ จะตกอยู่ในบันไดขั้นที่ 5 คือช่วงภาษีที่ 20%
ทำให้เมื่อนำมาคำนวณภาษีที่คุณ A จะต้องจ่ายแล้ว จะตกอยู่ที่ 81,200 บาท
แต่สำหรับเกณฑ์แบบใหม่ อย่างที่บอกไปตอนแรก ค่าใช้จ่ายในการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี จะสามารถนำมาใช้ลดหย่อนได้ 1.3 เท่าจากเงินต้น
ทำให้เงินได้สุทธิของคุณ A จะกลายเป็น
เงินได้สุทธิของคุณ A เมื่อมีมาตรการใหม่ = 1,500,000 - 100,000 - 60,000 - 9,000 - (500,000 x 1.3) = 681,000 บาท
ตกอยู่ในบันไดขั้นที่ 4 คือช่วงภาษีที่ 15% ส่งผลให้ เมื่อคำนวณภาษีใหม่อีกรอบหนึ่ง ภาษีที่คุณ A จะต้องจ่าย จะเหลือเพียง 54,650 บาทเท่านั้น
เพื่อไม่ให้งง จะขอสรุปมาสั้น ๆ แบบนี้
- ก่อนมีมาตรการแบบใหม่ คุณ A จะต้องจ่ายภาษี 81,200 บาท
- เมื่อมีมาตรการแบบใหม่เข้ามา ภาษีที่คุณ A จะต้องจ่าย จะเหลือ 54,650 บาท
จะเห็นได้ว่า มาตรการนี้จะช่วยส่งเสริมให้คนแบบคุณ A คือกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 1,500,000 บาท ได้ลดหย่อนภาษีที่ต้องจ่าย ให้เหลือน้อยลงไปได้
แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่คนอีกกลุ่มต้องพบเจอ กลับแตกต่างออกไป อย่างสุดขั้ว..
2. สำหรับกลุ่มที่มีรายได้เกิน 1,500,000 บาทต่อปี
สำหรับตัวแทนของคนกลุ่ม จะยกตัวอย่างผ่านคุณ B ที่มีรายได้มากกว่าคุณ A แค่เพียง 1 บาทเท่านั้น
กล่าวคือ คุณ B มีรายได้ทั้งปี 1,500,001 บาท และจะมีค่าลดหย่อน รวมถึงเงินออมสำหรับซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีเหมือนกับคุณ A ทุกอย่างเลย
- ก่อนมีมาตรการภาษีใหม่เข้ามา คุณ B ก็จะมีเงินได้สุทธิ ดังต่อไปนี้
เงินได้สุทธิของคุณ B ก่อนมีมาตรการใหม่ = 1,500,001 - 100,000 - 60,000 - 9,000 - 500,000 = 831,001 บาท
โดยเงินได้สุทธิ จะตกอยู่ในบันไดภาษีขั้นที่ 5 คือ 20% ทำให้เมื่อคำนวณภาษีออกมาแล้ว คุณ B จะต้องจ่ายภาษี 81,200.2 บาท
- หลังมีมาตรการภาษีแบบใหม่เข้ามา จำนวนเงินภาษีที่คุณ B จะต้องจ่าย จะมากกว่าคุณ A เป็นเท่าตัว
อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า สำหรับกลุ่มที่มีรายได้ทั้งปี มากกว่า 1,500,000 บาท จะใช้ค่าใช้จ่ายในการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี มาลดหย่อนภาษีได้เพียง 0.7 เท่าของเงินต้น
ดังนั้น เมื่อคำนวณเงินได้สุทธิของคุณ B ใหม่ จะเท่ากับ
เงินได้สุทธิของคุณ B หลังมีมาตรการใหม่ = 1,500,001 - 100,000 - 60,000 - 9,000 - (500,000 x 0.7) = 981,001 บาท
ตกอยู่ในบันไดภาษีขั้นที่ 5 คือ 20% เช่นเดิม แต่จำนวนเงินภาษีที่คุณ B จะต้องจ่าย จะเพิ่มขึ้นเป็น 111,200.20 บาท
หรือพูดให้เห็นภาพก็คือ มาตรการใหม่นี้
จะทำให้ คุณ A จ่ายภาษีน้อยลง
แต่คุณ B กลับต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นแทน
จากที่เราเห็นกันผ่านตัวอย่างในทั้ง 2 กรณี คือแค่ทั้ง 2 กลุ่มนี้ มีรายได้ต่างกันเพียง 1 บาท แต่สิ่งที่ต้องเจอ กลับต่างกันลิบลับ
เพราะคนหนึ่ง ได้รับประโยชน์ ทำให้ประหยัดภาษีเป็นเงินหลายบาท
แต่ในขณะเดียวกัน คนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่แม้จะมีรายได้มากกว่ากันแค่ไม่เท่าไร กลับจะต้องเจอภาระภาษี เพิ่มเข้ามา และยังต้องจ่ายมากกว่าคนอีกกลุ่ม เป็นเท่าตัว
พอเป็นแบบนี้ ก็อาจทำให้คนที่มีรายได้เกิน 1,500,000 บาทต่อปี แท้จริงแล้ว อาจจะมีรายได้สุทธิหลังหักภาษีน้อยกว่าคนที่มีรายได้ไม่เกิน 1,500,000 บาท แม้ว่าจะลดหย่อนภาษีจนเต็มจำนวน ไปแล้วก็ตาม..
Reference
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.