
กฎ 2 ข้อ ที่ต้องรู้จัก ถ้าอยากมี อิสรภาพทางการเงิน
9 มิ.ย. 2025
ในโลกนี้ มีกฎอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น กฎของนิวตัน, กฎของเทอร์โมไดนามิกส์ และในอนาคต ก็จะมีกฎอีกหลายข้อถูกค้นพบ เพื่อใช้อธิบายความเป็นไปของโลก
แต่ในฟากฝั่งของโลกการเงิน กลับมีกฎที่เราจำเป็นต้องรู้ เพียงแค่ 2 ข้อเท่านั้น ถ้าเราอยากจะมีอิสรภาพทางการเงิน
หากสงสัยว่า กฎทั้ง 2 ข้อนี้ มีอะไรบ้าง และทำไมจึงสำคัญต่อการวางแผนมีอิสรภาพทางการเงินของเรา
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
กฎทั้ง 2 ข้อนี้ ประกอบด้วย
“กฎ 25X” และ “กฎ 4%”
1. กฎ 25X
เป็นสิ่งที่จะบอกเราว่า เราจะต้องมีเงินเท่าไร เราถึงจะมีอิสรภาพทางการเงินได้ โดยกฎนี้บอกไว้ว่า เราจะต้องมีเงิน คิดเป็นอย่างน้อย 25 เท่าของค่าใช้จ่ายรายปี
ตัวอย่างเช่น คุณ A มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 20,000 บาทต่อเดือน เท่ากับคิดเป็น ค่าใช้จ่าย 240,000 บาทต่อปี
ดังนั้น ตามกฎ 25X แล้ว
คุณ A จะต้องมีเงินต้นอย่างน้อย
240,000 x 25 = 6,000,000 บาท
จึงจะสามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้
สำหรับขั้นตอนแรกนี้ เราจะต้องเริ่มต้นจากการสำรวจตัวเราเองให้ละเอียดก่อนว่า ในแต่ละปี เรามีค่าใช้จ่ายอยู่เท่าไร
พอเรารู้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแล้ว เราก็ค่อยนำมาคูณด้วย 25 เราก็จะได้เป้าหมาย คือตัวเลขจำนวนเงิน ที่เราจะต้องมี เพื่อมีอิสรภาพทางการเงิน
2. กฎ 4%
ต่อมาก็คือ การนำกฎ 4% มาใช้ โดยกฎนี้บอกไว้ว่า เงินที่เราจะเอาออกมาใช้ในแต่ละปีหลังจากเกษียณ จะต้องไม่เกิน 4% ของจำนวนเงินที่เรามีอยู่ทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น
- ในปีแรกที่เกษียณ คุณ A จะเอาเงิน 4% ของ 6,000,000 บาท เท่ากับ 240,000 บาท มาใช้
แบบนี้ หลังจากผ่านไปปีแรก คุณ A ก็จะเหลือเงินต้น 5,760,000 บาท
- พอถึงปีที่ 2 จำนวนเงิน 4% ของ 5,760,000 บาท เท่ากับ 230,400 บาท ทำให้เงินต้นเหลือ 5,529,600 บาท
- และในปีที่ 3 จำนวนเงิน 4% ของ 5,529,600 บาท เท่ากับ 221,184 บาท ทำให้เงินต้นเหลือ 5,308,416 บาท
หากสังเกตดูจะพบว่า ในแต่ละปีผ่านไป พอเงินต้นของคุณ A น้อยลง ก็จะทำให้จำนวนเงินที่คุณ A สามารถเอาออกมาใช้ได้ มีน้อยลงไปด้วย
ซึ่งเรื่องนี้ ดูจะขัดกับสามัญสำนึกในโลกความเป็นจริงเกินไป เพราะในโลกนี้ มีเงินเฟ้ออยู่ ทำให้ในแต่ละปี ค่าใช้จ่ายของเราควรจะมากขึ้น ไม่ใช่ลดน้อยลง
หากเราไปทำตามกฎ 4% แบบเป๊ะ ๆ เลย ในแต่ละปี เราก็จะต้องใช้จ่ายเงินให้น้อยลง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดูไม่สมเหตุสมผลเลย
ดังนั้น แม้จะขึ้นชื่อว่ากฎ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเปลี่ยนแปลง
แต่เวลาเราจะนำหลักคิดเรื่องกฎ 4% ไปใช้ เราก็ควรจะต้องปรับให้เข้ากับบริบทตามความเป็นจริงของโลก ด้วยการเข้าใจเรื่องเงินเฟ้อ
- เข้าใจเรื่องเงินเฟ้อ
ซึ่งจะมีผลต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของเรา
โดยปกติแล้ว เงินเฟ้อเฉลี่ยในระยะยาว จะอยู่ที่ประมาณไม่เกินปีละ 3%
หมายความว่า ในแต่ละปีผ่านไป เพื่อให้เรายังรักษาคุณภาพการใช้ชีวิตให้ได้เหมือนเดิม เราจะต้องใช้จ่ายเงินมากขึ้นอีก ปีละ 3%
เช่น ในปีแรก ค่าใช้จ่ายของเราอยู่ที่ 240,000 บาท พอถึงปีต่อมา หากเราอยากมีคุณภาพชีวิตเท่าเดิม เงินที่เราต้องใช้ จะเพิ่มมาเป็น 247,200 บาท
สมมติว่า คุณ A หลังจากเกษียณแล้ว มีเงินก้อนอยู่ 6,000,000 บาท โดยเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้เฉย ๆ
ถ้าค่าใช้จ่ายในแต่ละปี เพิ่มขึ้นปีละ 3% แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ในระยะเวลาหลังจากเกษียณแค่ไม่ถึง 20 ปี เงินจำนวน 6,000,000 บาท ก็จะหมดลง
- เข้าใจเรื่องการลงทุน
มีคำกล่าวว่า “ที่สุดของความเสียดายคือ ตายไปแล้ว ยังใช้เงินไม่หมด แต่ที่สุดแห่งความสลดคือ เงินหมดแล้ว แต่ยังไม่ตาย”
คำกล่าวนี้สะท้อนตัวอย่างที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดีว่า เมื่อค่าใช้จ่ายของเราเพิ่มขึ้นทุกปี สักวันเงินต้นของเราก็จะหมดลง
หากตอนนั้น เรายังคงมีชีวิตอยู่ โดยไม่ได้มีรายได้จากแหล่งใดเลย เราก็จะเจอปัญหา “เงินเราหมดแล้ว แต่เรายังคงไม่ตาย” ได้
ซึ่งในตอนนั้น ภาพของชีวิตเรา คงจะลำบากน่าดูเลย..
และเพื่อให้เราไม่ต้องเจอกับปัญหาแบบนี้ ในช่วงบั้นปลายของชีวิต เราจึงควรเข้าใจเรื่องการลงทุน ที่เน้นการสร้างกระแสเงินสด
โดยผลตอบแทนที่เราทำได้จากการลงทุน ก็จะส่งผลต่อ ระยะเวลาที่เราจะมีเงินใช้ โดยที่เงินต้นจะยังไม่หมดอยู่ด้วย
ถ้าผลตอบแทนเฉลี่ย 4% ต่อปี จะใช้เวลา 29 ปีหลังเกษียณ เงินต้นถึงจะหมด
ถ้าผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี จะใช้เวลา 36 ปีหลังเกษียณ เงินต้นถึงจะหมด
ถ้าผลตอบแทนเฉลี่ย 6% ต่อปี จะใช้เวลา 48 ปีหลังเกษียณ เงินต้นถึงจะหมด
และหากทำผลตอบแทนได้เฉลี่ย 7% ต่อปี เงินต้นของเราจะไม่มีวันหมดอีกเลย..
เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนที่เราทำได้ จะเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายตลอดไป แถมมูลค่าเงินต้นของเรา จะเพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ อีกด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราน่าจะเข้าใจกันเรื่อง กฎ 25X และกฎ 4% กันดีขึ้นมาบ้างแล้ว
เพื่อให้เราไม่งง จากข้อมูลที่อาจจะเยอะเกินไปสักหน่อย จึงขอมาสรุปประเด็นสำคัญ กันสั้น ๆ อีกครั้งหนึ่ง
- กฎ 25X ช่วยบอกเราว่า เราจะต้องมีเงินอย่างน้อย คิดเป็น 25 เท่าของค่าใช้จ่ายรายปี ถึงจะมีอิสรภาพทางการเงินได้
- ส่วนกฎ 4% แนะนำวิธีการบริหารเงินว่า เมื่อเรามีเงินครบตามเป้าหมายแล้ว ในแต่ละปี เราจะเอาเงินออกมาใช้ได้ไม่เกิน 4% ของเงินทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม กฎ 4% เป็นวิธีการวางแผนการใช้จ่ายแบบง่าย ๆ โดยยังไม่ได้คำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะสูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ
และผลตอบแทนในการนำเงินไปลงทุนต่อยอด ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาส ให้เงินต้นของเราเติบโตขึ้น และกระแสเงินสดจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของเราด้วย
เพราะในโลกของความเป็นจริง แม้เรื่องการเงินอาจจะไม่ได้ลึกลับซับซ้อน เกินกว่าที่คนธรรมดาจะเข้าใจ
แต่ก็ไม่ได้ง่ายขนาดที่ จะปล่อยปละละเลย ไม่คิดให้รอบคอบได้
การมีแผนการเงินที่เหมาะสม จึงเป็นอีกเรื่องที่สำคัญมากในชีวิต เพราะถ้าการเงินเราดี โอกาสที่เราจะมีชีวิตอย่าง สุขกาย สบายใจ ในทุก ๆ วัน ก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย นั่นเอง..
#วางแผนการเงิน
#หลักวางแผนการเงิน
#อิสรภาพทางการเงิน
Reference
- หนังสือ PASSIVE INCOME เครื่องทุ่นแรงอิสรภาพการเงิน (2568) โดย จักรพงษ์ เมษพันธุ์