สรุปไอเดียการลงทุน 4 ข้อ จากงาน “ตีแตกหุ้นไทย ON STAGE”

สรุปไอเดียการลงทุน 4 ข้อ จากงาน “ตีแตกหุ้นไทย ON STAGE”

21 ก.ค. 2025
ในช่วงที่ผ่านมา หากเราติดตามข่าวสารตลาดหุ้นไทยกันมาตลอด ก็คงจะเห็นว่าราคาหุ้นไทยโดยรวม ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง
คนส่วนใหญ่มีความเห็นแตกออกเป็น 2 ฝั่งอย่างชัดเจน
กลุ่มหนึ่งมองว่า “หุ้นไทยเกิดวิกฤติแล้ว”
แต่อีกกลุ่มกลับมองว่า “โอกาสมาถึงแล้ว”
เรื่องนี้ก็ต้องให้แต่ละคนใช้วิจารณญาณในการตัดสินกันเอาเองว่าเรามองเป็นวิกฤติ หรือโอกาสกันแน่
และล่าสุด ได้มีงาน “ตีแตกหุ้นไทย On Stage” ที่ถูกจัดขึ้น โดยมีนักลงทุนและนักวิเคราะห์เก่ง ๆ หลายท่าน มาแชร์มุมมองและ Playbook ที่แต่ละท่านใช้ สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
แล้วไอเดียการลงทุนน่าสนใจจากงานนี้ มีอะไรบ้าง
MONEY LAB สรุปออกมาได้เป็น 4 ข้อ
1. Black Swan เกิดขึ้นได้เสมอ
Black Swan หรือเหตุการณ์รุนแรงแบบเปลี่ยนชีวิตที่เราไม่เคยคาดคิด สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ
อย่างในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย ก็เรียกได้ว่าเจอกับเหตุการณ์อย่าง Black Swan ที่ทำให้มูลค่าหุ้นของทั้งตลาดตกต่ำลงอย่างมาก
เรื่องนี้ เกิดจากหลายปัจจัย ที่ก่อให้เกิดเป็นวงจรแห่งความหายนะ โดยไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น
- เริ่มจากที่ผ่านมา มีผู้ถือหุ้น และนักลงทุนรายใหญ่ใช้บัญชีมาร์จิน มาลงทุนมากเกินไป 
เมื่อถึงวันที่ราคาหุ้นลดลงไปมากจากสภาพตลาดที่ย่ำแย่ คนกลุ่มนี้ก็โดน Margin Call แต่ไม่สามารถหาเงินมาวางเป็นหลักประกันเพิ่มได้ 
ส่งผลให้สุดท้ายต้องยอมโดนบังคับขาย ซึ่งก็ยิ่งจะทำให้ราคาหุ้นลดลงไปอีก
- อีกปัจจัยมาจาก มีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทย มากกว่าเงินไหลเข้า
ปัจจัยนี้ มาจาก 2 ส่วนสำคัญ ทั้งฝั่งในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ ที่อาจจะมองว่าสภาพเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยไม่ได้ดูน่าดึงดูดอีกต่อไปแล้ว เมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นที่มีอยู่ในปัจจุบัน
และ LTF หมดอายุ ซึ่งก็ไม่ได้มีมาตรการอะไรมารองรับ ทำให้มีนักลงทุนแห่ไถ่ถอนกันออกมาเป็นจำนวนมาก 
บวกกับในยุคปัจจุบันนี้ นักลงทุนรายย่อยก็มีตัวเลือกในการลงทุนมากขึ้น สามารถนำเงินไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ง่ายขึ้น และไม่จำเป็นต้องจำกัดตัวเองอยู่กับแค่ตลาดหุ้นไทยเท่านั้น
พอเงินเก่าออกไป เงินใหม่แทบไม่เข้ามา นี่ก็เลยเป็นอีกปัจจัยให้ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าลดลง
- แต่เท่านั้นยังไม่จบ เพราะจากการที่หุ้นไทยโดนเทขายมาอย่างต่อเนื่องนี้ บรรดาบริษัทที่จัดทำดัชนีหุ้นอย่าง MSCI และ FTSE ที่จัดสัดส่วนหุ้นไทยเข้าไปไว้ในดัชนีหุ้นโลก ก็ต้องลดสัดส่วนหุ้นไทยจากดัชนีลง
นั่นก็ทำให้ กองทุนจากสถาบันระดับโลก ยิ่งต้องมีการเทขายหุ้นไทยออกมาซ้ำอีก เพื่อปรับสัดส่วน ซึ่งเป็นการจำเป็นต้องขาย โดยไม่สนราคาหุ้นเลย
นี่ก็นับเป็น Black Swan ที่กำลังเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทย 
ดังนั้น นักลงทุนที่ดีก็ควรเตรียมพร้อม และมีแผนรับมืออยู่เสมอ ที่สำคัญคือเราก็ต้องใช้ความมีเหตุมีผลเข้าไปร่วมตัดสินใจด้วย เช่น มูลค่าหลายบริษัทที่เราเห็นอยู่ว่ามันตกต่ำ มันเกิดขึ้นจากผลการดำเนินงานจริง ๆ หรืออารมณ์ของตลาด..
2. การมีรายได้หลายทาง เป็นเรื่องจำเป็น
จากข้อที่ 1 เราคงเห็นปัญหา ที่ทำให้มูลค่าตลาดหุ้นไทยโดยรวมลดลงแล้ว ถ้าเรามีวิธีในการรับมือที่ดี เรื่องนี้ก็แทบไม่น่ากังวลเลย แต่น่าจะเป็นโอกาสเสียด้วยซ้ำ เพราะจะช่วยให้เรายังมีกระสุน นำไปลงทุนหุ้นดี ๆ ได้ในราคาถูก
โดยกลยุทธ์ในการรับมือ มีอยู่ 2 อย่าง
- การทำ Asset Allocation เพื่อให้มีรายได้จากหลายสินทรัพย์
Asset Allocation ก็คือ การออกแบบพอร์ตการลงทุน ให้มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ในหลากหลายสินทรัพย์
เช่น เราอาจจะกระจายการลงทุนใน หุ้นไทย, หุ้นต่างประเทศ, ทองคำ และตราสารหนี้ เพื่อลดความเสี่ยงและความผันผวนของพอร์ตเรา ไม่ให้เราผูกความเสี่ยงไปไว้ที่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไป
โดยที่เราก็จะมีรายได้จากทั้งส่วนต่างราคาหุ้น และ Passive Income ในรูปแบบดอกเบี้ย หรือเงินปันผล จากสินทรัพย์ต่าง ๆ ด้วย
- รายได้จากการทำงานประจำ 
เมื่อเรามีรายได้จากการทำงานประจำ เงินที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่าย คือเงินที่เราสามารถออมได้ในแต่ละเดือน เราก็สามารถแบ่งมาซื้อหุ้นดี ๆ ที่ราคาร่วงลงมา สะสมไปได้
แต่ถ้าเราไม่มีรายได้จากการทำงานประจำเลย หรือช่วงจ่ายเงินปันผลยังมาไม่ถึง ก็อาจจะทำให้เราพลาดโอกาสในการซื้อหุ้น ตอนที่ราคาน่าซื้อ ก็เป็นได้
3. ในระยะยาว กำไรคือเจ้ามือที่แท้จริงของราคาหุ้น
ราคาหุ้นไทยที่ถูกลงมามากนี้ อาจจะทำให้มีคนสนใจกลับเข้ามาช้อนซื้อ เป็นจำนวนไม่น้อย
แต่เราต้องตระหนักรู้ไว้ด้วยว่าเราจะต้องเลือกหุ้นให้ถูกตัว หรือเราต้องเข้าใจคุณภาพของบริษัทที่เราลงทุนเป็นอย่างดี
หุ้นบางตัวราคาอาจจะถูกมาก ทำให้เห็นโอกาสเล่นเก็งกำไร รอการฟื้นตัวในระยะสั้นได้ แต่ไม่เหมาะกับการถือลงทุนในระยะยาว
เพราะว่าในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลง ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต
ถ้าในอนาคต บริษัทกำไรลดลง ราคาหุ้นก็จะต้องลดลง
ดังนั้น ถ้าหากเราเป็นนักลงทุนแบบระยะยาว แม้ว่าจะเห็นราคาหุ้นถูกอย่างไร เราก็ควรจะต้องมองหาหุ้นดี ที่ในระยะยาว ผลประกอบการยังมีโอกาสในการเติบโตเอาไว้ก่อน
4. คุณภาพกิจการ ยังเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
หุ้นของบริษัท ที่เราจะถือลงทุนไปได้ยาว ๆ ควรจะต้องเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง และมีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน เพราะผลประกอบการของบริษัทมีโอกาสเติบโตไปได้อีกหลายปี
อย่างในช่วงนี้ ที่เราเห็นมีหุ้นราคาถูกอยู่เต็มตลาด เราก็อาจจะต้องใช้พลังงานในการทำการบ้านเสียหน่อย เพื่อเลือกหาแต่ของดี ๆ มาเข้าพอร์ต
และทั้งหมดนี้ก็คือ ไอเดียการลงทุนดี ๆ 4 ข้อที่ทางเพจสรุปมาให้ จากงาน “ตีแตกหุ้นไทย On Stage งานเสวนาตามล่าหาหุ้นเปลี่ยนชีวิต ในช่วงวิกฤติ BLACKSWAN”
ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เนื้อหาจากบทความนี้ น่าจะช่วยให้เราพอเห็นไอเดียการลงทุนหุ้นไทยเพิ่มเติม และนำไปปรับใช้กันได้ ไม่มากก็น้อย..
#ตีแตกหุ้นไทยonstage
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.