สรุป 5 ข้อ จาก Talk ลงทุนแมน ดีลภาษีสหรัฐฯ 19% โอกาสทองของการปฏิรูปประเทศไทย

สรุป 5 ข้อ จาก Talk ลงทุนแมน ดีลภาษีสหรัฐฯ 19% โอกาสทองของการปฏิรูปประเทศไทย

2 ส.ค. 2025
หลังจากที่เมื่อวานนี้ประเทศไทยได้รับข่าวดีว่า ไทยถูกเก็บภาษีแค่ 19% เท่านั้น
ซึ่งพอ ๆ กันกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนอย่างมาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และกัมพูชา แต่ต่ำกว่าเวียดนามที่ถูกเก็บภาษี 20%
วันนี้ทางเพจลงทุนแมน ได้มีการเชิญ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าของประเทศไทย
และ ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์, รองประธานกรรมการหอการค้าไทย, นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้คำปรึกษาทีมเจรจาของไทยด้วย 
เพื่อมาแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของประเทศไทย 
โดยประเด็นที่น่าสนใจจากการพูดคุยครั้งนี้ ทาง MONEY LAB ก็สรุปออกมาได้ 5 ข้อด้วยกัน 
1. อัตราภาษี 19% ข่าวดีที่ปลดล็อกความกังวลของตลาด
จากการที่ตัวเลขอัตราภาษีนี้ ดีกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้ ซึ่งอยู่ประมาณ 20 ถึง 25% 
โดยสิ่งที่ไทยเสนอให้กับสหรัฐอเมริกา เพื่อแลกกับการได้อัตราภาษีนำเข้าที่ 19% ประกอบด้วยประเด็นหลัก 4 ข้อ ได้แก่
- การแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้าส่งออก ที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญอย่างมาก ซึ่งจะช่วยลดการเกินดุลการค้าของไทยกับสหรัฐฯ ได้ประมาณ 10,000-15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ ซึ่งมีราคาถูกที่สุดในโลก คาดว่าจะช่วยลดการเกินดุลการค้าได้เกือบ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- บริการดิจิทัล (Digital Service) ที่สหรัฐฯ ได้เปรียบดุลการค้ากับไทยอยู่แล้ว ปีที่ผ่านมา ก็ได้ดุลประมาณ 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และปีหน้ามีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  
- เปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารจากสหรัฐฯ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 3,000-4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งหมดนี้เพื่อปรับสมดุลการค้าและลดการเกินดุลการค้าของไทยกับสหรัฐฯ ที่มีอยู่ประมาณ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
แต่ ดร. ชนินทร์ ได้เสริมว่า การเจรจาครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ยังคงดำเนินต่อไป ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด 
ถึงอย่างนั้น ด้านนักลงทุนอย่างเช่น ดร. นิเวศน์ ก็รู้สึกแสดงความโล่งใจอย่างมาก ที่ไทยได้รับอัตราภาษี 19% แทนที่จะเป็น 36% 
เพราะข่าวดีนี้ ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ตลาดหุ้นพัง แถมยังช่วยปลดล็อกความกังวลของตลาดอีกด้วย  
2. แรงผลักดันจากภายนอก โอกาสทองของการปฏิรูปเศรษฐกิจไทย
นอกจากอัตราภาษีที่ต่ำลง จะช่วยคลายความกังวลของตลาดหุ้นแล้ว ดร. นิเวศน์ ยังมองว่า ประเทศไทยยัง “ได้ 2 เด้ง” เพราะยุติความขัดแย้งกับกัมพูชาได้ จนเปลี่ยนสนามรบให้กลายเป็นสนามการค้าอีกครั้ง  
อีกทั้งการที่หลายภาคการผลิตสินค้าของไทย อย่างเช่น ภาคการเกษตร ถูกสินค้าจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาตีตลาด
ก็สามารถพลิกวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสทองในการ “ปฏิรูปประเทศ” ให้บริษัทต่าง ๆ ในประเทศ หันไปทำสิ่งที่มีคุณค่ากับโลกสมัยใหม่ 
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ผ่านไป 10 ปี หุ้นไทยก็อาจจะยังไม่ไปไหน เพราะยังคงทำแต่ธุรกิจเดิม ๆ ขายของแบบเดิม ๆ 
อย่างที่ ดร. นิเวศน์ ได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าจะเลี้ยงหมูตลอดชีวิต บางทีประเทศไทย มันไม่ไปไหนหรอก”
สอดคล้องกับมุมมองของ ดร. ชนินทร์ ที่ว่าการเปิดเสรีให้กับสหรัฐอเมริกา แลกกับอัตราภาษี 19% นั้น จะช่วยปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะภาคเกษตรและอาหาร
อีกทั้งควรจะเป็นตัวเร่งให้รัฐบาลปฏิรูปภาครัฐ, ลดกฎระเบียบ และเร่งการสร้างนวัตกรรม
3. ความโปร่งใสและการเมืองที่นิ่ง เป็นสิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยไปต่อได้ 
โดย ดร. ชนินทร์ เสนอว่าควรใช้แนวคิด “Regulatory Guillotine” ผ่าตัดแก้ไขและลดกฎระเบียบต่าง ๆ (Deregulation) ที่เป็นตัวถ่วงความสามารถในการแข่งขันของไทย 
รวมถึงเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digitalization) เพื่อสร้างความโปร่งใส และปราบปรามการคอร์รัปชัน  
นอกจากนี้ยังต้องมีนโยบายสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการส่งเสริมให้เด็กไทย เข้าศึกษาในสาขา STEM ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก และรวมการแลกเปลี่ยนทางการศึกษาไว้ในกรอบการเจรจา FTA
เพราะเงินลงทุนมหาศาลจากทั่วโลกพร้อมที่จะเข้ามาในประเทศไทยอยู่แล้ว 
เพียงแต่ต้องแสดงให้เห็นนักลงทุนต่างชาติเชื่อมันและเห็นถึงความพร้อมในการปฏิรูปและต่อสู้กับการทุจริต รวมถึงการเมืองที่มีเสถียรภาพ มีนโยบายสาธารณะที่ถูกต้องและโปร่งใส 
ซึ่ง ดร. นิเวศน์ เองก็ชี้ว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมี ระบบการเมืองที่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย มีความยุติธรรม และมีเสถียรภาพ 
4. ถ้าประเทศเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ตอนนี้อาจเป็นจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นไทย 
หากภาพรวมของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นและมีเสถียรภาพ นี่อาจเป็น "จุดต่ำสุดของตลาดหุ้นไทย" ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวและเติบโตในระยะยาว 
โดยทาง ดร. นิเวศน์ เชื่อว่าหุ้นไทย ณ ตอนนี้ มีราคาค่อนข้างถูกแล้ว และจะน่าลงทุนมากขึ้นหากเศรษฐกิจเริ่มเติบโตและมีการปฏิรูปอย่างจริงจัง
อย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์ที่ยังเปลี่ยนแปลงประเทศ แม้ตอนนั้นจะประสบความสำเร็จอยู่แล้ว จนเป็นประเทศไฮเทคและมีระบบการศึกษาในระดับแถวหน้า 
หรือญี่ปุ่นที่ซบเซามานาน พอมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและมีทิศทางในการพัฒนาประเทศอย่างชัดเจน ตลาดหุ้นก็กลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง 
ดร. ชนินทร์ เสริมว่าหากมีการดำเนินการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยจะเติบโตขึ้นอย่างมาก และอาจจะทำให้อัตราการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 3% อย่างไม่ลำบาก 
ทั้งยังมองว่าโอกาสในการดึงดูดการลงทุนในภาคส่วนไฮเทค เช่น เซมิคอนดักเตอร์, AI และ Data Center จากสหรัฐฯ เข้ามาใน EEC ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีของประเทศ.
5. "ทีมไทยแลนด์" และผู้นำที่กล้าหาญ คือสิ่งที่ประเทศไทยต้องการในตอนนี้
ในช่วงท้าย ดร. นิเวศน์ สนับสนุนแนวคิด "ทีมไทยแลนด์" ที่ไม่ได้หมายถึงแค่ทีมเจรจาการค้าของไทยเท่านั้น 
แต่คือการรวบรวมคนเก่ง ที่กล้าคิด กล้าทำ และสามารถดำเนินการในสิ่งที่ถูกต้องได้ โดยไม่กลัวการเสียคะแนนเสียงหรือความนิยมในระยะสั้น เพื่อนำพาประเทศให้ก้าวหน้า 
และผู้นำต้องมีความกล้าหาญ ที่จะดำเนินการปฏิรูป แม้จะมีการต่อต้านก็ตาม 
ทาง ดร. ชนินทร์ ก็เห็นด้วยว่าการปฏิรูป จำเป็นต้องอาศัยความกล้าหาญและความต่อเนื่อง โดยผู้นำต้อง กล้าที่จะพูดความจริง เกี่ยวกับปัญหาต่างๆ เช่น การคอร์รัปชัน 
และกล้าฟันธงในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมกับเชื่อว่าข้าราชการรุ่นใหม่ ๆ ต้องการสิ่งเหล่านี้แน่นอน.. 
Reference
- รายการ Talk ลงทุนแมน ตอน ไทยปิดดีลภาษีสหรัฐฯ 19% ใครได้-เสีย บ้าง ? 
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.