สรุปหลักการ 3 ข้อ หาสุดยอด หุ้นเปลี่ยนชีวิต แบบพี่เชาว์ เฉลิมเดช

สรุปหลักการ 3 ข้อ หาสุดยอด หุ้นเปลี่ยนชีวิต แบบพี่เชาว์ เฉลิมเดช

17 มี.ค. 2025
การที่ได้ลงทุนในหุ้นสักตัว แล้วราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไปเป็น 10 เท่า ก็น่าจะเป็นหนึ่งในความฝันของนักลงทุนหลายคน
แต่การจะได้เจอหุ้น 10 เด้งแบบนี้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ยิ่งถ้าให้พูดถึงการได้เป็นเจ้าของหุ้น 100 เด้ง ก็รับรองว่ายิ่งยากกว่าเดิมมาก
แต่รู้ไหมว่า มีนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าชาวไทยคนหนึ่ง ที่เคยทำผลตอบแทนจากหุ้นตัวหนึ่ง ได้ 100 เด้ง และอีกตัวหนึ่ง ก็ได้ประมาณ 50 เด้ง
และนี่ยังไม่นับรวมหุ้นเด้งอีกหลายตัว ที่ตลอดชีวิตการลงทุนของเขา ทำได้ซ้ำ ๆ มาตลอด
เรากำลังพูดกันถึง คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ หรือพี่เชาว์ อดีตนายกตัวตึง แห่งสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
หากสงสัยว่า ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา พี่เชาว์มีหลักการลงทุนอย่างไร ถึงสามารถหาหุ้นเด้ง เจอได้อยู่ตลอด
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
หลักการลงทุนในแบบพี่เชาว์ จะสามารถสรุปออกมาได้เป็น 3 ข้อ
มองหาหุ้นเติบโต ที่มีระยะเวลาเติบโต อีกยาวนาน
หุ้นที่พี่เชาว์ชอบลงทุน จะเป็นประเภทหุ้นของบริษัทที่โตเร็ว ที่กำไรจะสามารถเติบโตได้ ปีละหลาย 10% ไปอีกหลายปีข้างหน้า
เพราะถ้าเราได้ลงทุนในหุ้นประเภทนี้ แล้วถือหุ้นไปยาว ๆ เงินลงทุนของเรา ก็มีโอกาสจะเติบโตแบบทบต้นไปได้เยอะมาก
จนบางที ก็สามารถเพิ่มขึ้นได้ถึง หลัก 10 เท่า โดยใช้เวลาไม่นานเลย
บริษัทต้องมีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
แม้ว่าการเติบโตจะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นตัวที่จะช่วยค้ำยัน ให้บริษัทยังสามารถรักษาการเติบโตต่อไปได้อย่างปลอดภัย
สิ่งนี้เรียกว่า “Durable Competitive Advantage”
หรือ “ความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน”
บริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน มักจะสามารถทำธุรกิจต่อเนื่องไปได้อีกยาวนานหลายปี
และมักจะผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก จากปัญหาที่เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ไปได้ง่ายกว่าบริษัทที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
คุณลักษณะที่สำคัญของบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ก็อาจจะประกอบไปด้วย
มีผู้บริหารที่เก่ง ขยัน ซื่อสัตย์ และมีธรรมาภิบาลบริษัทมีกลยุทธ์การทำธุรกิจ ที่ทำอะไรก่อนคนอื่นเสมอ ทำให้คู่แข่งมักตามไม่ค่อยทันสินค้าของบริษัทมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งสินค้าและบริการของบริษัท มีต้นทุนในการเปลี่ยนย้าย ไปใช้ของคู่แข่งสูง หรือก็คือมี Switching Cost สูงบริษัทมีความสามารถในการต่อรองกับทางฝั่งลูกค้า หรือทางฝั่งซัปพลายเออร์ได้สูงบริษัทอาจจะเป็นผู้ผลิต ที่ทำต้นทุนต่อหน่วยได้ต่ำมาก เพราะด้วยความเชี่ยวชาญของบริษัท ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด หรือ Economies of Scale ขึ้นธุรกิจของบริษัทเป็นเครื่องจักรผลิตเงินสดชั้นดี โดยสามารถสร้างกระแสเงินสดอิสระ กลับมาได้อย่างมากมายบริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนต่อเงินลงทุน หรือ ROIC ได้สูงมากอย่างต่อเนื่อง
ซื้อหุ้นในราคาที่ไม่แพง
คุณปู่ Warren Buffett ตำนานนักลงทุนของโลก เคยกล่าวเอาไว้ว่า “คำสามคำที่สำคัญที่สุดในการลงทุน คือ Margin of Safety”
Margin of Safety แปลเป็นไทยว่า “ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย” มีไว้เพื่อช่วยลดความผิดพลาดในการลงทุน
โดยเป็นหลักการที่จะกำหนดให้เราซื้อหุ้น ตอนที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง อย่างมีนัยสำคัญเท่านั้น
เช่น หุ้น A มีมูลค่าที่แท้จริง 10 บาทต่อหุ้น แต่ราคาหุ้นในปัจจุบัน อยู่ที่ 5 บาทต่อหุ้น และถ้าเราซื้อหุ้น A เราก็จะมี Margin of Safety ถึง 50% นั่นเอง
แต่สำหรับเกณฑ์ Margin of Safety ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน นักลงทุนบางคนอาจจะต้องการแค่ 20% แต่ก็มีบางคนที่ต้องการมากกว่านั้น
ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคนด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้จำไว้ว่า ยิ่งมี Margin of Safety มาก ก็ยิ่งปลอดภัยมาก
ซึ่งหลักการมี Margin of Safety นี้เอง ก็ตรงกับหลักการลงทุนข้อสุดท้ายของพี่เชาว์ ที่จะไม่ยอมซื้อหุ้นมาในราคาที่แพงเกินไป
เพราะหากเราซื้อหุ้นเติบโต ที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน มาในราคาที่แพงเกินไป โอกาสที่เราจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูง ๆ ก็จะมีน้อยลง แต่โอกาสที่เราจะขาดทุน กลับมีมากขึ้น
ดังนั้น เมื่อเราได้เจอหุ้นที่ตรงสเป็กของเราแล้ว แต่ว่าราคายังถือว่าแพงเกินไปมาก เราก็ควรรอให้ราคาลงมาก่อน ยังไม่ต้องรีบเข้าไปซื้อ
แล้วมีวิธีไหน ที่จะช่วยบอกเราได้ว่า หุ้นตัวนี้ มีราคาแพงหรือถูกเกินไป ?
คำตอบก็คือ เราต้องประเมินมูลค่าหุ้นให้เป็น
การประเมินมูลค่าหุ้น มีอยู่หลากหลายวิธี โดยวิธียอดฮิตที่นักลงทุนส่วนใหญ่มักคุ้นเคยกัน ก็อย่างเช่น
ประเมินมูลค่าด้วย DCF หรือ การคิดลดกระแสเงินสดประเมินมูลค่าด้วย DDM หรือ ประเมินมูลค่าด้วยเงินปันผลประเมินมูลค่าด้วย P/E Ratioประเมินมูลค่าด้วย PEG Ratio
ถ้าหากเราประเมินมูลค่าออกมา แล้วพบว่า ราคาหุ้นในปัจจุบัน ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปมาก ก็ถือว่าหุ้นมีราคาถูก อยู่ในจุดที่น่าซื้อ
แต่หากพบว่า ราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ก็หมายความว่าราคาหุ้นแพงเกินไป เราก็ควรรอก่อน ยังไม่ต้องรีบซื้อ
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราน่าจะเข้าใจกันดีขึ้นแล้วว่า พี่เชาว์ เฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ มีหลักการลงทุนอย่างไร ถึงประสบความสำเร็จในการลงทุนได้แบบนี้
จึงขอสรุปกันสั้น ๆ แบบนี้อีกครั้งว่า
หาบริษัทที่จะเติบโตได้สูงในอีกหลายปีข้างหน้าให้เจอบริษัทต้องมีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนซื้อหุ้นของบริษัท ตอนที่ราคาไม่แพง เพื่อให้มี Margin of Safety
ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หลักการลงทุนทั้ง 3 ข้อของพี่เชาว์นี้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราบ้างไม่มากก็น้อย
หากเราได้นำหลักการเหล่านี้ไปใช้อย่างมุ่งมั่นจริงจัง บางที เราก็อาจจะกลายเป็นคนหนึ่ง ที่ได้เจอกับประสบการณ์แบบเดียวกับพี่เชาว์ก็ได้ นั่นคือ การได้เจอกับหุ้น 100 เด้งของเราเองได้
และถ้าเราได้ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นตัวนี้ อย่างเหมาะสมแล้ว
ผลตอบแทนระดับ 100 เด้ง ก็น่าจะช่วยเปลี่ยนชีวิตของเราได้ ไปตลอดกาลเลย..
References
สัมมนา VI101 ณ วันที่ 1 มีนาคม 2568งาน Meeting VI ภาคใต้ ณ วันที่ 2 มีนาคม 2568
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.