
อธิบาย เจ้าหนี้การค้า และรายได้รับล่วงหน้า 2 หนี้สิน ที่เป็นสัญญาณบอก ความแข็งแกร่งของกิจการ
13 มี.ค. 2025
บริษัทหนี้สูงมักจะเป็นที่ขยาดกลัวของนักลงทุน เพราะบริษัทที่มีหนี้สินมาก มักตามมาด้วยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ที่ไม่เพียงแค่กดดันกำไรเท่านั้น
แต่ยังกัดกินสภาพคล่องของบริษัท จนเพิ่มความเสี่ยงที่จะล้มละลายอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การดูแค่หนี้สินรวมของบริษัท อาจจะไม่ใช่การประเมินความเสี่ยงทางด้านการเงินที่ครอบคลุมนัก
เพราะการมีหนี้สินบางอย่าง อาจหมายถึงความแข็งแกร่งของบริษัทนั้นที่มีมาก แทนที่จะหมายถึงการที่บริษัทมีความเสี่ยงทางด้านการเงินสูง
ซึ่งหนี้สินที่ว่ามานั้นก็คือ เจ้าหนี้การค้า และรายได้รับล่วงหน้า นั่นเอง
แล้วทำไมการที่บริษัทมีเจ้าหนี้การค้า และรายได้รับล่วงหน้า อยู่ในรายการหนี้สินเป็นจำนวนมาก ถึงกลายเป็นสัญญาณบอกความแข็งแกร่งของบริษัทไปได้ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
- เจ้าหนี้การค้า
บริษัทต่าง ๆ ย่อมต้องมีการซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบ มาจากซัปพลายเออร์ เพื่อสร้างเป็นสินค้าและบริการขึ้นมา หรือแม้แต่นำมาขายต่อ ให้กับลูกค้าของตัวเองเป็นเรื่องปกติ
แต่การจะซื้อวัตถุดิบจากซัปพลายเออร์นั้น ก็ใช่ว่าทางบริษัทจะต้องจ่ายด้วยเงินสดในทันทีเพียงอย่างเดียว
เพราะถ้าหากบริษัทไหน เป็นบริษัทใหญ่ หรือมีความน่าเชื่อถือสูง ก็สามารถต่อรองกับซัปพลายเออร์ ว่าขอนำวัตถุดิบ หรือนำสินค้าไปขายก่อน โดยยังไม่จ่ายเงินให้ในทันทีได้เหมือนกัน
ซึ่งการทำสิ่งนี้เอง ก็จะกลายเป็นรายการ “เจ้าหนี้การค้า” ที่ปรากฏอยู่ในส่วนหนี้สินหมุนเวียน บนงบแสดงฐานะการเงิน หรือ งบดุล ของบริษัทต่าง ๆ
และถ้าหากเราอยากจะวัดว่าบริษัทมีอำนาจต่อรองกับซัปพลายเออร์มากแค่ไหน ก็ทำได้ด้วยการนำเจ้าหนี้การค้า ไปคำนวณหา อัตราการหมุนเวียนของเจ้าหนี้การค้า จากสูตร
อัตราการหมุนเวียนของเจ้าหนี้การค้า = ต้นทุนสินค้าขาย / มูลค่าของเจ้าหนี้การค้า
แล้วก็นำไปคำนวณหา ระยะเวลาชำระคืนเจ้าหนี้การค้าเฉลี่ย เพื่อแปลงเป็นจำนวนวัน ให้เราเข้าใจง่าย ๆ จากสูตร
ระยะเวลาชำระคืนเจ้าหนี้การค้าเฉลี่ย = 365 วัน / อัตราการหมุนเวียนของเจ้าหนี้การค้า
ถ้ายังไม่เห็นภาพ ลองมาดูตัวอย่างกัน
บริษัท A มีเจ้าหนี้การค้า 90 ล้านบาท และต้นทุนสินค้า 750 ล้านบาท
ทำให้บริษัท A มี อัตราการหมุนเวียนของเจ้าหนี้การค้า = 750 / 90 = 8.33
และมีระยะเวลาชำระคืนเจ้าหนี้การค้าเฉลี่ย = 365 / 8.33 = 43.82
ซึ่งตัวเลขนี้หมายความว่า บริษัท A สามารถนำวัตถุดิบมาผลิตสินค้าก่อน แล้วจากนั้นอีกประมาณ 43 ถึง 44 วัน ค่อยจ่ายเงินให้กับซัปพลายเออร์
ถ้าบริษัทไหนที่มีระยะเวลาชำระคืนเจ้าหนี้การค้าเฉลี่ยที่ยาวนาน ก็ยิ่งแปลว่าบริษัทนั้นมีอำนาจต่อรองกับซัปพลายเออร์ที่สูงตามไปด้วย
นอกจากนี้ แม้จะขึ้นชื่อว่าหนี้สิน แต่เจ้าหนี้การค้านั้น ไม่มีดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย เพราะเป็นแค่การติดค้างการชำระเงินให้กับซัปพลายเออร์เท่านั้น
ทำให้ถ้าหากบริษัทไหนมีเจ้าหนี้การค้า เป็นสัดส่วนค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับหนี้สินรวมทั้งหมด ก็ถือว่าบริษัทนั้น ไม่ได้น่ากังวลเรื่องหนี้สินมากนัก
และเราอาจจะต้องเปลี่ยนการประเมินความเสี่ยงทางด้านการเงิน จากการดูเพียงแค่ D/E Ratio หรือ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ที่เอาหนี้สินโดยรวมมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น
ไปเป็น IBD/E Ratio หรือ อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน ที่เอาเฉพาะแค่หนี้สินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยจริง ๆ มาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งจะสะท้อนความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทได้ดีกว่า
- รายได้รับล่วงหน้า
แม้จะมีชื่อว่ารายได้ แถมบริษัทยังได้เงินเข้ามาก่อนแล้วด้วย แต่รายได้นี้ก็ไม่ได้ถูกนับเป็นรายได้ในงบกำไรขาดทุน
นั่นก็เป็นเพราะว่า “รายได้รับล่วงหน้า” เป็นเพียงแค่เงินสดที่บริษัทได้จากลูกค้ามาก่อน แต่ยังไม่ได้ส่งมอบบริการให้แล้วเสร็จ ทางบริษัทจึงจะยังนับเป็นรายได้ไม่ได้
และต้องกลายเป็นรายการหนี้สิน เพราะยังติดค้างการส่งมอบสินค้าหรือบริการ ให้กับลูกค้าเหล่านี้ที่จ่ายเงินมาก่อนอยู่
ซึ่งแน่นอนว่ารายการหนี้สินนี้ ก็ไม่ได้คิดดอกเบี้ย เช่นเดียวกันกับเจ้าหนี้การค้า
ตัวอย่างที่เราเห็นภาพได้ง่าย ๆ เลยก็คือ การเติมเงินเข้าบัตรสมาชิกต่าง ๆ เช่น บัตร Starbucks
โดยทาง Starbucks นั้น จะได้เงินสดเข้าไปในบริษัท ตั้งแต่ตอนที่เราเติมเงินเข้าแล้ว แต่ยังรับรู้เป็นรายได้จริง ๆ ไม่ได้ เพราะต้องรอเราเอาบัตรเข้ามาซื้อกาแฟที่ร้านก่อน
สำหรับในงบการเงินของบริษัทต่างประเทศนั้น รายได้รับล่วงหน้า มักจะแยกออกมาเป็นรายการในหนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities) ภายใต้ชื่อว่า Deferred Revenue หรือ Unearned Revenues
แต่สำหรับงบการเงินในตลาดหุ้นไทยนั้น รายได้รับล่วงหน้าของบางบริษัท อาจจะซ่อนตัวอยู่ในรายการเจ้าหนี้การค้า ทำให้การจะดูรายได้รับล่วงหน้าแยกจริง ๆ อาจจะต้องไปดูในหมายเหตุประกอบงบการเงินเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ชื่อของรายได้รับล่วงหน้า จะแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรมด้วย เช่น ธุรกิจโรงแรมก็จะมีรายได้รับล่วงหน้าเป็น “เงินมัดจำห้องพัก”
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า Backlog ซึ่งเป็นยอดขายที่มีการวางเงินจองและทำสัญญากันเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งเริ่มมีการผ่อนเงินดาวน์ด้วย
ซึ่งข้อมูล Backlog เราอาจจะต้องรอดูในตอนที่บริษัทให้ข้อมูลตอน Oppday หรือในบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เป็นต้น
ซึ่งการที่บริษัทมีรายได้รับล่วงหน้าที่สูง ก็แสดงให้เห็นว่าลูกค้าค่อนข้างมั่นใจและเชื่อใจ ในตัวสินค้าและบริการของบริษัทนี้มาก
จนยอมเสียเงินให้บริษัทก่อน แล้วค่อยได้ใช้สินค้าและบริการทีหลัง
หรือถ้าหากบริษัทมีโมเดลธุรกิจในการรับเงินมาก่อนอยู่แล้ว อย่างเช่น ธุรกิจ Subscription หรือธุรกิจการบิน การมีรายได้รับล่วงหน้าเพิ่มขึ้น ก็ถือเป็นสัญญาณของการเติบโตในอนาคตที่ดีได้เช่นเดียวกัน
จากทั้งหมดนี้เองจะเห็นได้ว่า การมองเพียงแค่หนี้สินรวมของบริษัท อาจจะทำให้เราพลาดโอกาสการลงทุนที่ดีไป
เพราะหนี้สินบางรายการ อย่างเช่น เจ้าหนี้การค้า และรายได้รับล่วงหน้า ที่ MONEY LAB ได้อธิบายไปนั้น กลับสามารถกลายเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของกิจการได้เหมือนกัน
ฉะนั้นแล้ว ถ้าหากเราอยากเป็นนักลงทุนที่เหนือชั้นขึ้นไป การศึกษาวิธีการอ่าน และเข้าใจงบการเงินแบบนี้ไว้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น..
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#งบการเงิน
References
-หนังสือ Warren Buffett Accounting Book: Reading Financial Statements for Value Investing (2014) โดย Stig Brodersen และ Preston Pysh