Palantir ตำนานหุ้น 30 เด้ง ใน 3 ปี เจ้าของโปรแกรมที่เป็นสมองของหน่วยข่าวกรอง และธุรกิจ

Palantir ตำนานหุ้น 30 เด้ง ใน 3 ปี เจ้าของโปรแกรมที่เป็นสมองของหน่วยข่าวกรอง และธุรกิจ

10 ธ.ค. 2025
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ กลุ่มคนที่ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา รวมถึงคนที่ติดตามข่าวสงคราม ที่เกิดขึ้นระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-อิหร่าน
คงจะได้เห็นชื่อบริษัท Palantir Technologies ผ่านตากันอยู่บ่อย ๆ 
เพราะนอกจากที่ราคาหุ้นของบริษัทนี้ จะขึ้นมาถึงเกือบ 30 เด้ง ภายในระยะเวลาแค่ไม่ถึง 3 ปีแล้ว
บริการของบริษัท ก็ยังถูกนำไปใช้งานจริง ในสงครามที่กล่าวถึงข้างต้นด้วย
หากสงสัยว่า Palantir Technologies มีที่มาที่ไปอย่างไร และบริษัทนี้ จริง ๆ แล้วทำธุรกิจอะไรอยู่กันแน่ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ 
ในปี 2003 หลังเหตุการณ์จี้เครื่องบินเพื่อก่อวินาศกรรมในสหรัฐอเมริกา วันที่ 11 กันยายน 2001 ผ่านไปไม่นาน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาอีก คุณ Peter Thiel พร้อมเพื่อนฝูง ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน จึงได้ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อ Palantir Technologies ขึ้น
คำว่า Palantir ได้แรงบันดาลใจมาจากลูกแก้ววิเศษ ในภาพยนตร์ชุดเรื่อง The Lord of the Rings ซึ่งสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และสามารถใช้คาดการณ์อนาคตได้
ซึ่งสอดคล้องกับหลักการทำงานของผลิตภัณฑ์ของ Palantir ที่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต
การจะเข้าใจว่า Palantir ทำอะไร ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักกับคำศัพท์ที่เป็นเอกลักษณ์ ที่จะเชื่อมโยงไปสู่ทุกบริการของบริษัทกันก่อน
นั่นคือคำว่า “Ontology”..
โดย Ontology ทำหน้าที่เป็นสมองส่วนกลาง ที่เชื่อมโยงข้อมูลทุกอย่าง มาไว้ในแหล่งเดียว พร้อมทั้งแปลภาษาของข้อมูล ให้กลายมาเป็นภาษาแบบเดียวกัน
เพราะโดยทั่วไปแล้ว องค์กรหนึ่งมักจะมีข้อมูลเก็บอยู่ในหลากหลายรูปแบบ กระจัดกระจายตามแต่ละแพลตฟอร์มที่บริษัทใช้งานอยู่
เช่น Oracle, Salesforce หรือในคลาวด์อย่าง AWS, GCP และ Azure
พอเวลาผู้บริหารจะดึงเอาข้อมูลเหล่านี้มาใช้งานจริง ก็ต้องอาศัยวิศวกรข้อมูล มาจัดระเบียบข้อมูลที่กระจัดกระจายกัน ให้พร้อมนำไปใช้วิเคราะห์ต่อไป
จากนั้นเมื่อโครงสร้างข้อมูลมีความเป็นระเบียบ พร้อมใช้งานแล้ว ก็จะเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ Data Scientist ในการนำข้อมูลไปวิเคราะห์
พอเป็นแบบนี้ ก็ทำให้เกิดต้นทุนในการจ้างวิศวกรข้อมูล และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
แต่เมื่อมี Ontology ปัญหาเหล่านี้ ก็จะหมดไป เพราะ Ontology เชื่อมโยงข้อมูลทุกอย่างที่มีอยู่ในองค์กร 
และแปลผลออกมาให้พร้อมสำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจได้เลย
ซึ่งหลักการทำงานของ Ontology ที่สามารถทำหน้าที่แทนวิศวกรข้อมูลได้ คือการเลียนแบบหลักการทำงานของสมองมนุษย์
โดยสมองของมนุษย์จะใช้ความรู้ทางภาษา เพื่ออ่านข้อมูล และเก็บข้อมูลไว้ในความทรงจำของเรา จากนั้นก็ใช้หลักการคิดในเชิงตรรกะ เพื่อเชื่อมโยง และประมวลผลข้อมูล
การแปลภาษาของ Ontology ก็เช่นเดียวกัน ที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ด้านภาษาการเขียนโปรแกรม เพื่ออ่านข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ
เมื่ออ่านข้อมูลได้แล้ว ก็จะใช้หลักการทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เพื่อจัดเก็บข้อมูลให้เป็นระเบียบต่อไป
แต่จุดเด่นของ Ontology ที่ต่างจากการทำงานของสมองมนุษย์ก็คือ การจัดการกับข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้มีความลำเอียงในการอ่าน และจัดเก็บข้อมูลน้อยมาก
สรุปก็คือ Palantir ใช้ Ontology เป็นเหมือนวุ้นแปลภาษาในการ์ตูนโดราเอมอน เพื่อแปลข้อมูลที่ถูกจัดเก็บในรูปแบบที่แตกต่างกัน มาเป็นภาษาเดียวกัน แล้วจัดระเบียบข้อมูล ให้นำไปใช้วิเคราะห์ได้ง่าย
ระบบปฏิบัติการของ Palantir จึงสามารถนำไปปรับใช้กับข้อมูลของลูกค้าเจ้าไหนก็ได้ในโลก ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นั่นเอง
ถึงตรงนี้ ก็น่าจะเข้าใจคอนเซปต์ของ Ontology กันดีขึ้นแล้ว แต่ก็อาจจะมีหลายคนสงสัยกันว่า
แล้วทำไมไอเดียนี้ ถึงสำคัญต่อการนำมาใช้กับหน่วยงานด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นลูกค้ารายแรก ๆ ของ Palantir ด้วย ?
คำตอบก็คือ เพราะทีมงานผู้ก่อตั้ง Palantir มองว่า เหตุการณ์ความไม่สงบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก จริง ๆ แล้ว สามารถป้องกันเหตุเอาไว้ก่อนได้เสมอ
เพราะข้อมูลที่มีอยู่ก็เพียงพอ จะใช้คาดการณ์อนาคตได้ดีอยู่แล้ว แต่ยังขาดวิธีการเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านั้น จนสร้างเป็นระบบประมวลผลที่แม่นยำได้
หากมี Ontology หน่วยงานด้านความมั่นคงก็จะใช้ข้อมูลหลากหลายแบบที่เก็บไว้ มาประเมินความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ทุกรูปแบบได้ จนสามารถป้องกันต้นเหตุของความรุนแรง ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
หรือต่อให้เหตุการณ์ดำเนินไปแล้ว ก็ยังสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากภัยความรุนแรง เช่น ลดความสูญเสียและความเสียหาย ให้น้อยลงไปได้อีกด้วย
จากไอเดียการทำธุรกิจที่เหมือนนิยายวิทยาศาสตร์แบบนี้ จึงทำให้บริการของบริษัทตอนนี้ สามารถต่อยอด ไปประยุกต์ใช้กับภาคเอกชนได้ด้วย ไม่เพียงแค่ภาครัฐ
ผ่านบริการหลักใน 4 แพลตฟอร์ม ประกอบด้วย
- Gotham บริการเฉพาะสำหรับลูกค้าภาครัฐ ครอบคลุมหน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งหมด
ช่วยให้หน่วยงานเหล่านี้ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เตรียมป้องกันความเสี่ยงที่มีโอกาสจะเกิดขึ้น
หรือลดความเสียหายจากเหตุการณ์รุนแรง ให้เหลือน้อยลง รวมไปถึงใช้วางกลยุทธ์ ในปฏิบัติการทางทหาร ให้เหมาะสมที่สุด เพื่อจบเหตุการณ์ความขัดแย้ง ให้เร็วที่สุด
ตัวอย่างการใช้งานแพลตฟอร์ม Gotham ที่น่าสนใจก็คือ การสแกนภาพถ่ายดาวเทียม แล้วมองหาจุดที่น่าจะเป็นคลังอาวุธของศัตรู 
จากนั้นแพลตฟอร์ม Gotham จะติดต่อไปยังเรือรบที่อยู่ใกล้เป้าหมายที่สุด เพื่อขออนุญาตสั่งยิงขีปนาวุธบนเรือลำนั้น
กัปตันประจำเรือ จะมีหน้าที่แค่ตรวจสอบเป้าหมาย และอนุญาตยิงเท่านั้น
- Foundry บริการสำหรับลูกค้าบริษัทเอกชน
หลักการทำงานจะเหมือนกันกับ Gotham เลย แต่ต่างกันที่ Foundry ถูกออกแบบมาให้ใช้งานเฉพาะกับลูกค้าเอกชนทุกอุตสาหกรรม
ตัวอย่างการใช้งานแพลตฟอร์ม Foundry ที่น่าสนใจก็คือ การบริหารจัดการกระบวนการผลิตเครื่องบิน Airbus
รู้หรือไม่ว่า เครื่องบินโดยสาร A350 ของ Airbus มีชิ้นส่วนมากกว่า 5 ล้านชิ้น
การติดตามความคืบหน้า หรือการแก้ปัญหาคอขวดที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่การผลิต จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะข้อมูลการผลิตกระจัดกระจายกันอย่างมาก
แต่เมื่อมี Ontology แล้ว บริษัทก็สามารถแปลข้อมูลที่กระจัดกระจายกัน มาจัดโครงสร้างให้เป็นระเบียบ
เพื่อติดตามความคืบหน้า และแก้ปัญหาการผลิตในแต่ละขั้นตอนได้อย่างรวดเร็ว
- Apollo ระบบที่เชื่อมโยงทุกบริการของ Palantir
มีหน้าที่ช่วยให้ทุกอุปกรณ์ของลูกค้า ที่ติดตั้ง Gotham หรือ Foundry อยู่ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลที่เกิดขึ้นกับระบบกลาง
พร้อมทั้งอัปเดตเป็นระบบใหม่ได้ทันที ไม่ว่าอุปกรณ์เหล่านี้ จะถูกใช้งานที่ไหนก็ตาม
เช่น รถถังหรือเครื่องบินรบ ที่กำลังใช้งานอยู่ในภาคสนาม ซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล
หากอุปกรณ์เหล่านี้ ติดตั้ง Gotham อยู่แล้ว ขอแค่เพียงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ก็จะถูกอัปเกรดระบบจากข้อมูลใหม่ ๆ ได้ทันทีเลย
ในขณะเดียวกัน ข้อมูลที่เกิดขึ้นในภาคสนาม ก็จะถูกส่งกลับไปให้ศูนย์ปฏิบัติการกลาง ใช้วิเคราะห์เพื่อพัฒนาระบบให้ดียิ่งขึ้น
จากนั้นก็จะส่งข้อมูล ย้อนกลับมาให้ทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันอยู่ ได้อัปเกรดระบบไปพร้อมกัน
วนซ้ำไปมาแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลา เกิดเป็น Feedback Loop ที่ยิ่งมีข้อมูลมากขึ้น ระบบการประมวลผลก็จะยิ่งฉลาดขึ้น
จนทำให้การคาดการณ์อนาคต มีความแม่นยำมากขึ้น และปฏิบัติการที่ภาคสนาม ก็มีโอกาสสำเร็จ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- AIP ย่อมาจาก Artificial Intelligence Platform คือ Generative AI ซึ่งเป็นบริการใหม่ล่าสุดของบริษัท
โดย AIP จะฝังอยู่ในทุกบริการของ Palantir เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถพูดคุยโต้ตอบเป็นภาษามนุษย์กับระบบกลาง เหมือนเวลาเราใช้งานพวก ChatGPT หรือ Gemini
เวลาเราจะใช้งาน Gotham หรือ Foundry เราก็สามารถสั่งการเป็นภาษามนุษย์ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโคดสั่งการระบบ แบบสมัยก่อนอีก
และจากไอเดียธุรกิจสุดล้ำ เหมือนผู้มาก่อนกาลแบบนี้ ก็ทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว จนสร้างปรากฏการณ์ ในแบบที่เราไม่ค่อยจะเห็นกันมาก่อน
โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตมาจาก 2 ส่วนคือ การมีลูกค้ารายใหม่เพิ่มเข้ามา ทั้งภาครัฐและเอกชน
รวมถึงลูกค้าเดิม ก็ยังเลือกจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อใช้บริการเสริมอื่น ๆ ของบริษัทมากขึ้น
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ เมื่อลูกค้าได้ใช้งานจริงแล้ว พบว่า ผลลัพธ์ดีกว่าสมัยยังไม่ใช้งาน อย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้บริการของ Palantir อาจจะมีราคาสูง แต่ลูกค้ากลับรู้สึกว่า ผลลัพธ์ที่ได้ คุ้มค่าเงินที่จ่ายไปมาก
ตรงจุดนี้เอง จึงเป็นเหตุปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เราได้เห็น ผลประกอบการบริษัทเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด พร้อมกันกับ ราคาหุ้นที่พุ่งทะยานขึ้นอย่างกับจรวด
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็น่าจะเข้าใจกันดีขึ้นแล้วว่า ธุรกิจของ Palantir Technologies มีความน่าสนใจอย่างไร
จากจุดเริ่มต้นคือเหตุการณ์ความรุนแรง ที่คนส่วนใหญ่ไม่คิดไม่ฝัน ว่าจะเกิดขึ้นได้ ในประเทศผู้นำโลก อย่างสหรัฐอเมริกา
กลับเป็นตัวจุดประกายให้เกิดเป็นไอเดีย สร้างธุรกิจแปลก ๆ ของคุณ Peter Thiel และผองเพื่อน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้บริษัทนี้จะต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้ง 
แต่เหล่าทีมงานของบริษัท ที่เรียกว่า Palantirians ก็ไม่เคยถอดใจยอมแพ้ แต่ยังมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่จะช่วยยืนยันว่า สิ่งที่บริษัททำอยู่ เป็นสิ่งสำคัญหรือไม่
ไม่ใช่คำพูดมากมายของเหล่านักวิจารณ์ แต่กลับเป็นความประทับใจของลูกค้า ที่มีต่อบริการของบริษัท ต่างหาก..
หมายเหตุ : บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำให้ซื้อหรือขายหุ้นเหล่านี้ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน ก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
#ลงทุน
#หุ้นนอก
#PLTR
References
- 10-K ปี FY2024 บริษัท Palantir Technologies
- หนังสือ Zero to One: Notes on Startups, or How to Build the Future (2014) โดย Peter Thiel และ Blake Masters
- Palantir ธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูล มูลค่าล้านล้าน ที่เกิดจากเงินทุนของ CIA
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.