
ตำนานหุ้น 256 เด้ง Gilead Sciences ผู้ผลิตยารักษาโรคเอดส์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
27 ส.ค. 2025
“We Will, We Will Rock You
We Will, We Will Rock You”
เปิดมาแค่นี้หลายคนคงสงสัยว่าเพลงกีฬาสีในวัยเด็ก เกี่ยวอะไรกับตำนานหุ้น 256 เด้ง เรื่องที่เรากำลังจะพูดถึงในวันนี้ด้วย
นั่นก็เพราะว่า คุณ Freddie Mercury นักร้องนำของวงร็อกในตำนานจากประเทศอังกฤษ อย่างวง Queen
เขาเป็นหนึ่งในอีกหลายล้านชีวิตที่จากไปด้วยโรคเอดส์ ที่กำลังระบาดอย่างหนักในช่วงเวลานั้น..
โดยในสมัยนั้น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ มีโอกาสรอดชีวิตอยู่น้อยมาก
แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบันนี้ ก็ทำให้จากโรคเอดส์ซึ่งตอนนั้นเหมือนจะเป็นสิ่งที่รักษาไม่หาย กลายเป็นโรคร้ายที่สามารถอยู่ในการควบคุม
และหนึ่งในบริษัทที่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ก็คือ Gilead Sciences หนึ่งในตำนานหุ้น ที่หากเราลงทุนถือหุ้นไว้เฉย ๆ นับตั้งแต่วันแรกที่บริษัทเข้าตลาด
เราจะได้ผลตอบแทนถึง 256 เด้ง หรือคิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ย แบบทบต้น 27.3% ต่อปี..
หากสงสัยว่า Gilead Sciences เป็นใคร มาจากไหน และทำอย่างไร จึงทำให้สถานการณ์การระบาดของโรคเอดส์ในปัจจุบันนี้ ไม่รุนแรงเท่ากับเมื่อก่อนแล้ว
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
Gilead Sciences ก่อตั้งในปี 1987 โดยแพทย์หนุ่มที่ชื่อคุณ Michael L. Riordan
เดิมทีบริษัทไม่ได้ตั้งใจจะทำยาเพื่อรักษาโรคเอดส์โดยตรง แต่อยากจะโฟกัสไปที่ยาต้านไวรัส หรือ Antiviral ซึ่งจะสามารถต่อยอด กลายมาเป็นยารักษาโรคติดเชื้อ ได้อีกมากมาย
ยุคแรก ๆ ที่เริ่มทำธุรกิจ สถานการณ์ของบริษัทก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่จัดว่าค่อนข้างย่ำแย่เลยทีเดียว
นั่นก็เพราะว่าธรรมชาติของธุรกิจยา กว่าที่จะค้นพบยาสักตัวหนึ่งที่จะทำเงินได้มหาศาล บริษัทจะต้องหมดเงินไปกับการลงทุนเพื่อการทดลองเป็นอย่างมาก
ด้วยความที่ Gilead Sciences เป็นบริษัทเกิดใหม่ บริษัทจึงต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่หลายปี จนต้องมีการระดมทุนเพิ่มอีกหลายครั้ง
แต่ในที่สุด บริษัทก็ได้ค้นพบด้านที่ตัวเองเชี่ยวชาญที่สุดคือ การทำยารักษาโรคเอดส์..
เพื่อให้เราเข้าใจกันง่าย ๆ ก่อนจะไปกันต่อ ขออธิบายเรื่องโรคเอดส์แบบนี้
เชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุทำให้คนเป็นโรคเอดส์ ชื่อว่า “Human Immunodeficiency Virus หรือ HIV”
เมื่อเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ก็จะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน จนบกพร่อง เกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า “โรคเอดส์”
โรคเอดส์ ไม่ได้ทำให้คนที่ติดเสียชีวิตในทันที แต่เมื่อทำลายระบบภูมิคุ้มกัน จนร่างกายอ่อนแอมากแล้ว ก็จะเกิดโรคแทรกซ้อนมากมายตามมา อย่างเช่น โรคมะเร็ง
ทีนี้เวลาจะรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ ก็จะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือ ตัวไวรัส HIV นั่นเอง
ซึ่งในช่วงปี 1980 ถึง 2000 เป็นยุคที่โรคเอดส์ระบาดหนักมาก
แถมการรักษาคนป่วย ก็เป็นไปได้อย่างยากลำบาก เพราะสมัยนั้นก็ยังไม่มียาที่มาตอบโจทย์การรักษาโรคได้ดีพอ
ในแต่ละวัน คนไข้จะต้องกินยาเป็นสิบเม็ด หากลืมกินไปเพียงไม่กี่ครั้ง ก็จะทำให้การรักษาล้มเหลวได้เลย
ตรงนี้เอง คือจุดที่ Gilead Sciences พยายามจะเข้ามาแก้ปัญหา เพราะอย่างที่บอกไปว่า บริษัทเริ่มต้นมาจากแนวคิดการทำยาต้านไวรัส
องค์ความรู้ที่บริษัทมี จึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างยาตัวใหม่ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติโรคเอดส์ ได้ถูกช่วงเวลาพอดี
แต่ในการค้นคว้ายาตัวใหม่ หลายครั้งบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ อาจจะไม่ได้เริ่มต้นทำขึ้นมาเองทั้งหมด 100%
โดยบริษัทมักจะใช้กลยุทธ์ ผ่านทั้งการทำวิจัยและพัฒนาของตัวเอง ควบคู่ไปกับการซื้อกิจการของบริษัท ที่ทำธุรกิจประเภทเดียวกันเข้ามา
ทั้งนี้ก็เพื่อให้การพัฒนายาของบริษัท ก้าวหน้าได้เร็วขึ้น
อย่าง Gilead Sciences ก็มีการเริ่มทำยาต้านไวรัส HIV มาบ้างแล้ว และบริษัทก็ใช้เงินซื้อกิจการเข้ามาเรื่อย ๆ จนช่วยต่อยอดให้ยารักษาโรคเอดส์ของบริษัท ล้ำหน้าไปได้ไกลกว่าบริษัทยาเจ้าอื่นได้
จากเดิมที่เมื่อก่อน ผู้ป่วยโรคเอดส์จะต้องกินยาวันละหลายสิบเม็ด
แต่นวัตกรรมยาจาก Gilead Sciences ทำให้ในทุกวันนี้ ผู้ป่วยสามารถกินยาแค่วันละเม็ด และกลับไปใช้ชีวิตได้..
อย่างไรก็ตาม การค้นพบนวัตกรรมยาตัวใหม่แค่อย่างเดียว ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ชื่อเสียงของบริษัท โด่งดังจนมาเป็นเจ้าตลาดได้
แต่เพราะกลยุทธ์ในการจัดจำหน่ายยาควบคู่ไปด้วย จึงทำให้ยาของบริษัท ก้าวขึ้นมาเป็นบรรทัดฐานการรักษาโรคเอดส์ ในยุคปัจจุบันนี้
เพราะนอกจากจะผลิตยาขายเองแล้ว บริษัทยังขายสิทธิ์การผลิตยา ให้กับบริษัทผู้ผลิตยาในกลุ่มประเทศยากจน ที่กำลังเผชิญปัญหาการระบาดของโรคเอดส์
กลยุทธ์นี้ นอกจากจะทำให้ประเทศเหล่านี้ ลดปัญหาการระบาดของโรคไปได้แล้ว ก็ยังทำให้ Gilead Sciences สามารถขายยาไปได้ทั่วโลก จนชื่อเสียงยาของบริษัท กลายเป็นมาตรฐานการรักษาโรคนี้
อย่างไรก็ตามบริษัทก็ยังมีการพยายามลงทุนวิจัย เพื่อค้นหายารักษาโรคอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้บริษัทต้องพึ่งพาเพียงแค่ยาต้านไวรัส HIV เพียงอย่างเดียวด้วย
โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทปีล่าสุดคือปี 2024 เป็นดังนี้
- ยาต้านไวรัส HIV ใช้รักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ 68%
- ยารักษาโรคมะเร็ง 12%
- ยารักษาโรคตับ 10%
- ยาอื่น ๆ 10%
ซึ่งยารักษาโรคอื่น ๆ นั้นก็มีเจ้าตลาดอยู่แล้ว ทำให้หนทางในการกระจายรายได้ของ Gilead Sciences นั้น เจอกับความท้าทายพอสมควร
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราน่าจะเข้าใจถึงที่มาที่ไปของบริษัท Gilead Sciences ที่เข้ามาแก้ปัญหาวิกฤติการระบาดของโรคเอดส์กันดีขึ้นแล้ว
เรื่องนี้นับเป็นอีกเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รวมถึงนวัตกรรมเกิดใหม่อีกมากมาย ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาได้
โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤติรุมเร้า จนเรามองไม่เห็นทางออก แต่ในทุกครั้ง มนุษยชาติก็จะได้พบกับหนทางในการแก้ปัญหาอยู่เสมอ
อย่างในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มนุษยชาติก็เพิ่งเจอกับวิกฤติโรคระบาดครั้งใหญ่กันอีกครั้ง
ก็มีบริษัทอย่าง Pfizer, Moderna และ AstraZeneca ที่ออกมาช่วยกันผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันและควบคุมการระบาด จนพวกเราผ่านพ้นวิกฤติกันมาได้
เช่นเดียวกับการเปลี่ยนโรคเอดส์ จากโรคที่ติดแล้วตาย กลายเป็นโรคร้ายที่สามารถอยู่ในการควบคุม ผ่านการกินยาแค่เม็ดเดียว
ด้วยการมีหลากหลายบริษัทเป็นผู้วิจัยในการพยายามรักษาโรคนี้ โดยมี Gilead Sciences เป็นผู้เล่นรายใหญ่
ก็น่าคิดเหมือนกันว่า ถ้าหากนวัตกรรมนี้ออกสู่สาธารณชนได้เร็วขึ้นอีกสักนิด
บางทีโลกเราอาจจะไม่ต้องเสียคุณ Freddie Mercury และชีวิตของผู้คนอีกมากมายในช่วงนั้นก็เป็นได้..
หมายเหตุ: ผลตอบแทนในบทความนี้ คำนวณจากราคาหุ้นที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted Stock Price) ที่รวมผลกระทบจาก การปันผล, การแตกหุ้น, การเพิ่มทุน และการซื้อคืนหุ้น ตั้งแต่วันที่บริษัท IPO จนถึงปัจจุบัน
#ลงทุน
#หุ้นนอก
#หุ้น100เด้ง
References
-รายงานประจำปี 2024 บริษัท Gilead Sciences, Inc.
-Creating Possible | History of Gilead Science