แกะสูตรลงทุนหุ้นผู้ชนะ แบบ Dev Kantesaria (อดีต) นักเรียนแพทย์ เจ้าของพอร์ตการลงทุน 100,000 ล้านบาท

แกะสูตรลงทุนหุ้นผู้ชนะ แบบ Dev Kantesaria (อดีต) นักเรียนแพทย์ เจ้าของพอร์ตการลงทุน 100,000 ล้านบาท

21 พ.ย. 2025
ถ้าภาพนักลงทุนในหัวของเรา คือคนที่นั่งเท่ ๆ ดูกราฟและข้อมูลมากมายบนหลากหลายหน้าจอ เพื่อซื้อขายทำกำไรด้วยการหมุนหุ้นเร็ว ๆ 
หลังจากอ่านบทความนี้จบ เราอาจจะมองภาพการลงทุนเปลี่ยนไปเลยก็ได้ 
เพราะคุณ Dev Kantesaria ที่เรากำลังจะพูดถึงในวันนี้ เคยพูดว่าเวลา 99% ในการลงทุนของเขา หมดไปกับการ “อยู่เฉย ๆ” แถมยังพร้อมที่จะใช้เวลา 7 ปีเต็ม ไปกับการศึกษาบริษัทหนึ่งก่อนจะลงทุนด้วย 
การลงทุนในแบบของคุณ Dev นี้ สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นได้ถึง 15% ต่อปี นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุน Valley Forge Capital ของตัวเองในปี 2008 
ซึ่งทำให้เขามีพอร์ตการลงทุนที่บริหารอยู่ เติบโตมาจนมีมูลค่า 134,000 ล้านบาทในปัจจุบัน
ถ้าหากสงสัย ว่าคุณ Dev มีสูตรลับอะไรในการลงทุนหุ้นผู้ชนะซึ่งมีอยู่น้อยนิด ให้ได้ผลตอบแทนมาก ๆ แบบนี้ ? 
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
ด้วยความหลงใหลในเรื่องของธุรกิจและการลงทุน ที่มีมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก 8 ขวบ คุณ Dev ก็ได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นนักเรียนศัลยแพทย์ในปีที่ 3 
ก่อนจะออกมาเก็บประสบการณ์ในการทำงานกับบริษัทให้คำปรึกษาอย่าง McKinsey และกองทุน Venture Capital ที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ยาวนานถึง 18 ปี
ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในธุรกิจแบบนี้เอง ได้กลายเป็น สูตรลับในการเลือกหุ้นผู้ชนะของเขา 
1. หาผู้ชนะผูกขาดที่ใครก็ขาดไม่ได้ 
คำว่า “หุ้นผู้ชนะ” ของคุณ Dev ไม่ใช่บริษัทที่ขึ้นเป็นผู้นำได้ชั่วครั้งชั่วคราว แล้ว 5 หรือ 10 ปีต่อมาก็โดนคลื่นลูกใหม่ซัดหายไป 
แต่ต้องเป็นผู้ชนะที่เมื่อมีคู่แข่งใหม่เข้ามา บริษัทนั้นต้องสามารถพูดกับคู่แข่งใหม่ได้เลยว่า “ถ้าจะตามให้ทันยังเร็วไป 50 ปี” 
ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ที่จะเป็นแบบนี้ได้ ก็คือบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมผูกขาด หรือมีคู่แข่งน้อยราย 
เห็นได้จากหุ้นเหล่านี้ ที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนของเขา 
- Visa และ Mastercard ผู้อยู่เบื้องหลังเครือข่ายการชำระเงินของบัตรเครดิตและเดบิตกว่า 10,000 ล้านใบทั่วโลก 
- ASML ผู้ผลิตเครื่องผลิตชิปคุณภาพสูง ซึ่งผู้ผลิตชิปทั่วโลกขาดไม่ได้ 
- Moody’s และ S&P Global ที่เป็นผู้กำหนดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ Credit Rating ของหุ้นกู้บริษัทและพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก 
- FICO ที่เป็นผู้คำนวณคะแนนเครดิต และ Equifax ที่ให้ข้อมูลเครดิตบูโร กับธนาคารต่าง ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา 
- Intuit ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม จัดการภาษีสำหรับบุคคลทั่วไปและนักบัญชี รวมถึงระบบหลังบ้านของธุรกิจ SMEs ทั่วสหรัฐอเมริกา 
แต่นอกจากการผูกขาดอุตสาหกรรมแล้ว สิ่งสำคัญที่บริษัทเหล่านี้มีร่วมกันคือ เป็นธุรกิจสำคัญที่ลูกค้าจำเป็นต้องใช้ เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง หรือที่คุณ Dev เรียกว่า “Mission Critical” 
เช่น ถ้าหากบริษัท A จะออกหุ้นกู้ โดยไม่ใช้ Moody’s ในการกำหนด Credit Rating ก็จะต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น จากการต้องออกหุ้นกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกว่าเดิม
เพราะฉะนั้นแม้จะต้องเสียเงินให้กับ Moody’s แต่เมื่อชั่งน้ำหนักกันกับ ต้นทุนทางการเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ถ้าหากไม่ใช้ Moody’s กำหนด Credit Rating การเสียเงินให้ Moody’s ก็ยังคุ้มค่ากว่า 
ซึ่งถ้าหากบริษัทไหน มีความ Mission Critical กับลูกค้ามากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้บริษัทมีอำนาจในการขึ้นราคาที่สูงขึ้นเท่านั้น อันเป็นสิ่งที่คุณ Dev ชอบมาก ๆ 
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อำนาจในการขึ้นราคาที่สูง ก็ต้องมาพร้อมกับต้นทุนที่ต่ำสำหรับฝั่งลูกค้าด้วย เพื่อที่ลูกค้าจะได้ไม่หนีไปใช้บริการของบริษัทคู่แข่ง 
2. สามารถกลายเป็นเครื่องจักรทบต้นในระยะยาว 
แต่ถึงแม้จะลงทุนในบริษัทผูกขาด แบบที่คุณ Warren Buffett มาเห็นก็คงจะบอกว่า เป็นบริษัทที่คนโง่มาบริหารก็ยังอยู่ได้ 
แต่คุณ Dev กลับมองว่าต่อให้เป็นธุรกิจผูกขาด แต่ผู้บริหารก็ยังสำคัญเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน 
โดยเขาชอบผู้บริหารที่จัดสรรเงินลงทุนเก่ง จนสามารถสร้างผลตอบแทนจากเงินลงทุน หรือ ROIC ได้สูง 
ไม่ก่อหนี้มากมาย และไม่สร้างการเติบโตด้วยการซื้อกิจการ ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นการซื้อที่ไม่ฉลาด 
แต่ธุรกิจต้องเติบโตมาจากความสามารถและตัวโมเดลธุรกิจเอง อย่างการขึ้นราคาสินค้าแบบที่กล่าวไปข้างต้น 
นอกจากนี้คุณ Dev ยังชอบบริษัทที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่มหนัก ๆ กระแสเงินสดอิสระ หรือ Free Cash Flow จะได้ไม่โดนกัดกิน 
อีกทั้งต้นทุนในการทำธุรกิจของบริษัท จะต้องแทบไม่เพิ่มตามรายได้ หรือเพิ่มน้อย 
เพราะจะทำให้บริษัทเกิดสิ่งที่เรียกว่า Operating Leverage ที่ทำให้รายได้บริษัทโตเท่าไร กำไรก็จะโตเร็วกว่ารายได้เรื่อย ๆ 
และทำให้บริษัทนั้น กลายเป็นเครื่องจักรผลิตกระแสเงินสดทบต้นไปเรื่อย ๆ ที่ตัวเขาเองคาดการณ์ได้ง่าย ว่า นับตั้งแต่กดปุ่มซื้อหุ้นตัวนี้ไป จะไม่มีอะไรที่มา Disrupt บริษัทนี้ได้แน่นอน ในช่วง 10 ปีจากนี้
แต่อย่างคำกล่าวของนักปรัชญาที่กล่าวว่า “ปัญหาทั้งหมดของมนุษยชาติ ล้วนเกิดจากความไม่สามารถนั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้องตามลำพัง” 
การถือหุ้นที่แม้เราจะรู้แก่ใจว่าเป็นสุดยอดบริษัทไปนานเกินกว่า 10 ปี ให้ผ่านทั้งวิกฤติ และข้อมูลข่าวสารมากมายที่มาท้าทายความมั่นใจของเรา เป็นเรื่องที่ยากมาก 
นั่นจึงนำไปสู่สิ่งหนึ่งที่คุณ Dev มี อันทำให้สูตรลับนี้ สร้างผลตอบแทนงดงาม ได้อย่างยาวนานต่อเนื่อง นั่นก็คือ “พลังแห่งความอดทน” อันเกิดมาจากความมั่นใจในหุ้นที่ตัวเองศึกษามาจนลึกซึ้ง 
โดยเขาทั้งอดทนรอซื้อหุ้นที่ราคาเหมาะสม หลังปรับตัวลงจากความผันผวนระยะสั้น 
อดทนถือหุ้นที่เขามั่นใจเป็นเวลานับ 10 ปี โดยไม่สนใจจับจังหวะตลาด และข่าวปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคที่เปลี่ยนไปมาแทบทุกไตรมาส
เพื่อปล่อยให้เหล่าเครื่องจักรทบต้นทุกเครื่อง ทำงานสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตของเขาเติบโตอย่างเต็มที่ ตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา
ในขณะที่เขาใช้เวลา 99% ที่แค่เปรียบเปรยเท่านั้น ว่าเอาไว้นั่งเฉย ๆ ให้กลายเป็นเวลาในการทบทวนความผิดพลาด และศึกษาธุรกิจให้ลึกซึ้ง 
เพราะเมื่อถึงคราวต้องซื้อขายหุ้น อันคิดเป็นเพียงแค่ 1% ของเวลาที่เขาใช้ในการลงทุน  
เขาจะสามารถตัดสินใจซื้อขายเหล่าหุ้นผู้ชนะ ตามหลักการของตัวเองได้อย่างแม่นยำ โดยไม่มีความลังเล..
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#DevKantesaria
References 
-Investing in Exceptional Businesses for the Long Run w/ Dev Kantesaria (TIP680)
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.