สัมภาษณ์พิเศษ คุณกิตติศักดิ์ โควินท์ทวีวัฒน์ เจ้าของเพจ Billionaire VI

สัมภาษณ์พิเศษ คุณกิตติศักดิ์ โควินท์ทวีวัฒน์ เจ้าของเพจ Billionaire VI

18 พ.ย. 2025
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน การไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ ยังเป็นความคิดที่ไม่ได้แพร่หลายในไทย มากเท่ากับทุกวันนี้
และในเวลานั้น ก็มีนักลงทุนชาวไทยอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เชื่อว่า การลงทุนหุ้นต่างประเทศนั้น “เป็นสิ่งที่ไกลตัวและยาก” ไม่ก็ยังยึดติดอยู่กับความคุ้นเคยในตลาดหุ้นไทย
แต่รู้หรือไม่ว่า มีนักลงทุนอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยที่เห็นโอกาสในหุ้นต่างประเทศ อันมีบริษัทดี ๆ ราคาถูกอยู่มากมาย จนต้องเริ่มเข้าไปลงทุน
เพราะนอกจากเขาจะเข้าไปลงทุนแล้ว ยังได้เริ่มทำเพจขึ้นมา เพื่อเป็นตัวจุดประกายให้คนไทยกล้าออกไปลงทุนในต่างประเทศด้วย
เรากำลังพูดกันถึง คุณกิตติศักดิ์ โควินท์ทวีวัฒน์ หรือพี่โต เจ้าของเพจ Billionaire VI อีกหนึ่งนักลงทุน ที่เชื่อมั่นในแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอย่างเข้มข้น
ซึ่ง MONEY LAB ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ เพื่อเรียนรู้หลักคิดในการลงทุน ให้มีทั้งความสุขและความสำเร็จ จากพี่โตมาด้วย
โดยเนื้อหาสำคัญ ได้สรุปมาให้อ่านแล้ว ตามนี้เลย
มีอาจารย์ดี จะช่วยเติมเต็มแรงบันดาลใจ
พี่โตก็เป็นอีกคน ที่เลือกเฟ้นหานักลงทุนต้นแบบดี ๆ ที่มีผลงานการลงทุนเป็นที่ประจักษ์ มาอย่างยาวนาน
อาจารย์เหล่านี้ คือเหล่าสุดยอดนักลงทุนในตำนาน ที่ฝากหลักคิดอันทรงคุณค่าไว้มากมาย ให้เหล่านักลงทุนรุ่นหลัง ได้ถอดบทเรียน ประกอบด้วย
คุณ Warren Buffett มอบแนวคิดทั้งการใช้ชีวิต และการลงทุนเหมือนเป็นเจ้าของกิจการคุณ Charlie Munger ช่วยสร้างวินัยในการลงทุน และการควบคุมอารมณ์คุณ Peter Lynch ให้เน้นลงทุนในสิ่งที่เข้าใจ และมองหาธุรกิจดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัวคุณ Philip Fisher สอนให้เน้นที่ธุรกิจคุณภาพดีไว้ก่อน ส่วนราคา เอาแค่พอเหมาะสม ไม่ต้องถูกมากก็ได้ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ช่วยจุดประกายความคิดว่า แม้เป็นมนุษย์เงินเดือน ก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ ผ่านการลงทุนในตลาดหุ้น
หนังสือดีมีอยู่ เราก็แค่เลือกหยิบมาอ่าน
พี่โตชอบอ่านหนังสือด้านการลงทุน และธุรกิจ เป็นชีวิตจิตใจ
ซึ่งหนังสือที่แนะนำให้อ่าน หากเราอยากจะเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้น ได้แก่
The Intelligent Investor ของคุณ Benjamin GrahamOne Up on Wall Street ของคุณ Peter LynchBuffettology ของคุณ David Clark และคุณ Mary BuffettBuffett and Munger Unscripted ของคุณ Alex W. Morrisตีแตก ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ทำงาน แบ่งเวลาให้ดี แล้วเอาเงินมาเติมพอร์ต
แม้พอร์ตการลงทุนจะเติบโตมาได้ไกลมาก นับจากวันแรกที่เริ่มต้นเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าอย่างจริงจัง แต่ทุกวันนี้ พี่โตก็ยังเลือกทำงานประจำต่อไป
นั่นก็เพราะ พี่โตมองว่า การทำงานนอกจากจะได้ช่วยสร้างคุณค่าให้กับสังคมแล้ว ก็ยังช่วยให้เราได้เรียนรู้มากขึ้นในทุกวันด้วย
และการจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้น พี่โตคิดว่าไม่จำเป็นต้องลาออกจากงานประจำ เพื่อมาทุ่มเทในการลงทุนก็ได้
เพราะหากเราแบ่งเวลาชีวิตให้ดี เวลาทำงานก็ตั้งอกตั้งใจ ไม่เอาเรื่องการลงทุนมาปะปน และพอถึงช่วงเลิกงาน เราก็ค่อยใช้เวลาที่เหลือ ทุ่มเทให้กับการลงทุน ก็ย่อมได้
นอกจากนี้เอง ข้อดีของการทำงานประจำ จะช่วยให้เรามีแหล่งรายได้ที่มั่นคง ต่อให้เวลาหุ้นตก เราก็เปรียบเสมือนมีเกราะกำบังที่จะช่วยลดความเครียดในจิตใจ
อีกทั้งถ้าเรามีเงินออมเหลือในแต่ละเดือน เราก็ยังนำมาเติมพอร์ตได้ เพื่อช่วยเร่งกระบวนการสร้างผลตอบแทนแบบทบต้น ให้พอร์ตของเรายิ่งเติบโตได้เร็วขึ้นไปอีก
ฝึกเตะ 10,000 แบบแค่ครั้งเดียว ยังไม่น่ากลัวเท่า “ฝึกเตะแบบเดียวซ้ำ ๆ ถึง 10,000 ครั้ง”
แม้คำกล่าวข้างต้น จะเป็นของคุณบรูซ ลี แต่ก็เป็นกระจกที่ช่วยสะท้อนความจริงในโลกการลงทุนได้เหมือนกันว่า
แม้เราจะไม่ได้มีกระบวนท่าที่หลากหลายซับซ้อน เหมือนนักลงทุนคนอื่น ๆ ที่อยู่ในตลาด
แต่ถ้าเราฝึกกระบวนท่าเดียวซ้ำ ๆ เป็นประจำ จนแตกฉาน เราก็สามารถกลายเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จนสร้างอิสรภาพทางการเงิน ให้กับชีวิตของเราได้
เฉกเช่นเดียวกับพี่โต ที่มีแก่นการลงทุนอันเรียบง่าย ที่เรียนรู้มาจาก เหล่าปรมาจารย์ด้านการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
โดยหลักการลงทุนนี้ เรียกว่า “แกนหลักทั้ง 4”
หากเราจำได้จนขึ้นใจ ก็จะสามารถนำไปใช้วิเคราะห์การลงทุน ในหุ้นตัวไหนก็ได้ ไปตลอดชีวิต
แกนที่ 1 : เข้าใจ Business Model
แกนแรกจะช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของธุรกิจ ซึ่งเราจะต้องตอบคำถามต่อไปนี้ให้ได้
บริษัททำธุรกิจอะไร ?มีวิธีในการหาเงินอย่างไร ?ลูกค้าของบริษัทเป็นใคร ?มีรูปแบบในการจัดจำหน่าย สินค้าและบริการ อย่างไร ?
แกนที่ 2 : เข้าใจ “คูเมือง (Moat) ของบริษัท”
คูเมือง คือคำเปรียบเปรยที่คุณ Warren Buffett ใช้มองหาบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
บริษัทที่มีคูเมืองแข็งแกร่ง ก็คือบริษัทที่มีโอกาสจะเป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรม พร้อมทั้งมีโอกาสจะเติบโตได้ต่อเนื่องไปอีกหลายปี
โดยคำถามที่เราต้องตอบ เพื่อเติมเต็มแกนนี้ให้ได้ คือ
บริษัทมีความสามารถในการแข่งขัน มากแค่ไหน ?ใครเป็นคู่แข่งคนสำคัญบ้าง ?และใครมีโอกาสจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริง ?
แกนที่ 3 : เข้าใจวิธีการประเมินมูลค่า พร้อมทั้งมี Margin of Safety เสมอ
วิธีในการประเมินมูลค่าที่พี่โตใช้ ได้รับอิทธิพลมาจากหนังสือ Buffettology
ซึ่งขั้นตอนในการประเมินมูลค่าจากหนังสือเล่มนี้ มีดังต่อไปนี้
เริ่มต้นจาก คาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้นของบริษัทนำกำไรต่อหุ้นในอนาคต ที่เราคำนวณมาได้ คูณกับ P/E ที่เหมาะสม เราก็จะได้ราคาหุ้นในอนาคตคิดลดราคาหุ้นในอนาคต กลับมาเป็นราคาหุ้นในปัจจุบัน ด้วยผลตอบแทนที่คาดหวัง ประมาณ 10-15% เราจะได้มูลค่าที่แท้จริงต่อหุ้นในปัจจุบันเพิ่มส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย หรือ Margin of Safety เข้าไป จะได้ราคาหุ้นที่แพงที่สุด ที่เราไม่ควรซื้อเกินราคานี้เด็ดขาด
หากเราอยากเข้าใจถึงหลักการประเมินมูลค่าด้วยวิธีการนี้ ก็ขอแนะนำว่า ให้ลองหาหนังสือ Buffettology มาอ่านดู
เพราะหนังสือเล่มนี้ นอกจากสอนวิธีการประเมินมูลค่าที่น่าสนใจแล้ว ยังมีหลักการวิเคราะห์คุณภาพบริษัทเชิงลึก ที่ทรงคุณค่าเป็นอย่างมากด้วย
แกนที่ 4 : เข้าใจผู้บริหาร
ผู้บริหารที่ดี จะต้องเป็นคนที่มีคุณลักษณะ อย่างเช่น มีความสามารถ และมีวิสัยทัศน์ คือมองเห็นภาพการเติบโตของบริษัทในระยะยาว
พร้อมทั้งมีกลยุทธ์ที่เหมาะสม ที่จะพาให้บริษัทไปถึงจุดนั้นได้
สำหรับพี่โตซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ก็เลือกใช้วิธีการติดตามข้อมูลของผู้บริหาร ผ่านการอ่านข่าว, ดูการแถลงผลประกอบการ
และดูสัมภาษณ์ผู้บริหาร ที่มีอยู่ใน YouTube ก็ถือว่าช่วยได้เพียงพอแล้ว
เข้าใจสิ่งที่เราลงทุน ช่วยให้กล้าถือหุ้นผ่านวิกฤติ
นับตั้งแต่เริ่มเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเมื่อปี 2553 พี่โตเคยเจอกับวิกฤติหนัก ๆ แค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือช่วงปี 2564-2565
เมื่อทางธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ยอยู่หลายครั้ง เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อสูง
การขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนั้น ทำให้พอร์ตของพี่โต ติดลบหนักที่สุดในชีวิตการลงทุน โดยขาดทุนถึง 40%
วิกฤติที่เกิดขึ้นในตอนนั้น นักลงทุนที่ผ่านเหตุการณ์มาได้ น่าจะจำกันได้เป็นอย่างดี
และก็น่าจะมีนักลงทุนอยู่หลายคน ได้รับบทเรียนอย่างหนัก จนเกิดเป็นบาดแผลทางใจ ที่จะจำไป ไม่มีวันลืม..
แต่สำหรับพี่โต เมื่อมองย้อนกลับไป พบว่าตัวเองในตอนนั้น ไม่ได้รู้สึกเครียดอะไรเลย ยังนอนหลับสบายทุกคืน
ที่เป็นแบบนี้ ก็เพราะไม่ได้ใช้เครื่องมือการลงทุนที่เสี่ยงเกินไป อย่างเช่น การใช้เงินกู้มาร์จิน และ Options
แถมในพอร์ตก็เต็มไปด้วยหุ้นคุณภาพสูง ที่เข้าใจเป็นอย่างดี ประกอบกับมีงานประจำทำ ก็ทำให้มีเงินเดือน เหลือแบ่งมาซื้อหุ้นดี ๆ ราคาถูก ที่มีอยู่เต็มตลาดในตอนนั้นได้
จุดที่ทำให้พี่โตรู้สึกเสียดายในตอนนั้น กลับเป็นการรู้สึกว่าตัวเองมีเงินสดน้อยเกินไป ทำให้ซื้อหุ้นได้ไม่เต็มที่ เท่านั้นเอง
รู้ทันจังหวะของชีวิต
การจัดพอร์ตให้เหมาะสมกับจังหวะของชีวิต ในแต่ละช่วงวัย ก็เป็นอีกเรื่องที่เราควรตระหนักเอาไว้
ในช่วงที่เราอายุน้อย เมื่อยังมีเงินไม่มากเท่าไรนัก หากอยากจะเน้นสร้างพอร์ตให้เติบโต แบบก้าวกระโดด เราก็อาจจะต้องเน้นถือหุ้นที่มั่นใจมาก ๆ ไม่กี่ตัว เพื่อเร่งพลังผลตอบแทน
แต่พอเราอายุมากขึ้น และพอร์ตเริ่มใหญ่ขึ้นแล้ว เราก็อาจจะต้องปรับรูปแบบการลงทุน ให้มาเน้นการรักษาความมั่งคั่งมากขึ้น
ในตอนนี้ พี่โตได้มีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น โดยเพิ่มส่วนของการลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสดเข้ามา เพื่อเตรียมพร้อมไว้สำหรับวัยเกษียณ
70% เป็นกองหน้า คือหุ้นคุณภาพดี เป็นผู้ชนะในระดับโลก ที่จะเติบโตทบต้นไปเรื่อย ๆ20% เป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตแบบก้าวกระโดด10% เป็นกองหลัง ประกอบไปด้วยหุ้นปันผลในตลาดหุ้นไทย ที่จะช่วยสร้างกระแสเงินสด ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และค่าเทอมลูก
ซึ่งในอนาคต สัดส่วน 10% นี้ พี่โตวางแผนไว้ว่า จะปรับให้เพิ่มขึ้นเป็น 20%
การที่เลือกจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงแบบนี้ ก็เพราะมีความเชื่อว่า การมีเงินปันผลจะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
โดยที่เราไม่ต้องขายหุ้นเติบโตในพอร์ตหลัก เพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายอีกเลย และเงินในส่วนที่เหลือนี้ ก็จะได้มีโอกาสเติบโตทบต้นต่อไปอีกยาวนาน
ซึ่งความสุขอีกอย่างของนักลงทุนก็คือ การได้เห็นพอร์ตของเรา เต็มเปี่ยมไปด้วยหุ้นของบริษัทดี ๆ ที่กำลังสร้างพลังแห่งการทบต้นแบบเงียบ ๆ
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราน่าจะเข้าใจถึงหลักการลงทุน ที่ดูจะเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยพลังแห่งปัญญาที่เฉียบคม ในแบบของคุณกิตติศักดิ์ โควินท์ทวีวัฒน์ หรือพี่โต เจ้าของเพจ Billionaire VI กันดีขึ้นแล้ว
แต่ก่อนที่จะจบบทความนี้ลง ก็อย่างเช่นเคย ที่พวกเราทุกคน ที่ได้อ่านบทความสัมภาษณ์แบบนี้ของ MONEY LAB กันมาร่วม 2 ปี
ก็คงจะรู้ทันกันแล้วใช่ไหมว่า คำถามสุดท้ายของทุก ๆ ครั้ง คืออะไร..
คำถามนั้นมีอยู่ว่า
“ถ้าวันหนึ่งในอนาคต พี่โตไม่ได้ส่งต่อความมั่งคั่งให้กับทายาท แต่ส่งต่อเป็นหลักการในการจัดการด้านการเงินและการลงทุนแทน พี่โตจะมีคำแนะนำอย่างไร ?”
พี่โตได้ตอบคำถามนี้ ผ่านคำแนะนำ 3 ข้อ ซึ่งเป็นบทสรุปอันเรียบง่าย เพื่อใช้สร้างความมั่งคั่ง
เข้าใจพลังของเงิน
เงินไม่ใช่แค่สิ่งที่เราต้องสะสมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยสร้างอิสรภาพให้กับชีวิต ถ้าเรารู้วิธีนำเงินไปต่อยอดให้ถูกวิธี
เข้าใจการทบต้น และการลงทุนระยะยาว
หากเข้าใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยทบต้น ก็เปรียบเสมือนเรากำลังมีกุญแจสำคัญของชีวิตอยู่ในมือ ที่จะช่วยให้เรากล้าถือหุ้นคุณภาพดี ลงทุนต่อไปในระยะยาว
แม้ในช่วง 10 ปีแรกที่เริ่มลงทุน เราอาจจะยังไม่เห็นความแตกต่างมากนัก เพราะเงินต้นของเราอาจจะยังน้อยอยู่
แต่เมื่ออดทนจนผ่าน 10 ปีแรกไปได้ เราจึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์จากพลังของการทบต้น
หากเราไม่เข้าใจหลักการข้อนี้อย่างถ่องแท้ เราก็อาจจะรีบร้อนเกินไป จนละทิ้งแนวความคิดที่เรียบง่าย และไปเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเองโดยไม่จำเป็น
ใช้ชีวิตอย่างติดดิน และเห็นความสำคัญของการออมเงิน
เวลาเราจะซื้อหาอะไร ให้เราคิดถึงเรื่องความคุ้มค่าในสิ่งที่เราจะซื้ออยู่เสมอ เพราะการเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่แท้จริง ต้องเริ่มต้นจากการใช้เงินอย่างรู้คุณค่า
ประกอบกับการเห็นความสำคัญในการออมเงิน เพราะไม่ว่าเราจะหาเงินมาได้มากเท่าไร ถ้าเราใช้เงินมากเกินไป ความมั่งคั่งก็จะไม่มีทางเติบโตได้เลย
อย่างไรก็ตาม ต่อให้เราเป็นคนที่หาเงินได้ไม่มากนัก แต่ถ้ารู้จักออมเงิน และนำไปลงทุนอย่างถูกวิธี
ในระยะยาวสัก 20 ถึง 30 ปี เราก็จะกลายเป็นคนที่มีความมั่งคั่งมาก ๆ ได้ในสักวัน
ทั้งหมดนี้ ก็คือเนื้อหาสำคัญที่ทาง MONEY LAB สรุปมาให้แล้วจากการสัมภาษณ์กับพี่โตในครั้งนี้
ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะช่วยทั้งฮีลใจ ให้ทุกคนที่อ่านกันมาจนจบ มีความหวังในการสร้างความมั่งคั่ง ผ่านการลงทุนในหุ้น
และสนุกกับกระบวนการเรียนรู้เรื่องราวของธุรกิจดี ๆ ในทุกวันต่อจากนี้ ไม่มากก็น้อย..
สุดท้ายนี้ ทาง MONEY LAB ก็อยากขอขอบคุณ คุณกิตติศักดิ์ โควินท์ทวีวัฒน์ ในการให้โอกาสสัมภาษณ์ ไว้ ณ ที่นี้ด้วย..
Reference
สัมภาษณ์พิเศษ คุณกิตติศักดิ์ โควินท์ทวีวัฒน์ เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.