สัมภาษณ์พิเศษ คุณมานะชัย ตันติกาญจนากุล กับยอดหลักคิด “นักลงทุนนับ 1”

สัมภาษณ์พิเศษ คุณมานะชัย ตันติกาญจนากุล กับยอดหลักคิด “นักลงทุนนับ 1”

3 พ.ย. 2025
สัมภาษณ์พิเศษ คุณมานะชัย ตันติกาญจนากุล กับยอดหลักคิด “นักลงทุนนับ 1” | MONEY LAB
หนทางสู่ความสำเร็จ ในชีวิตการเป็นนักลงทุน มีอยู่หลายเส้นทางให้เราเลือกเดิน
หากลองสังเกตกันดูให้ดี จะเห็นว่าสุดยอดนักลงทุนแต่ละคน แม้จะได้เรียนรู้มาจากต้นธารความคิดคล้าย ๆ กัน แต่วิธีการที่ใช้ กลับไม่ได้เหมือนกันเลย
นั่นก็เพราะ การจะก้าวไปสู่การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ได้ในระยะยาว เราจะต้องรู้จักตัวเอง และเลือกหาวิธีการ ที่เหมาะสมกับเราให้เจอ
ในช่วง 13 ปีมานี้ มีนักลงทุนอยู่ท่านหนึ่ง ที่ผ่านเส้นทางการเรียนรู้แบบนี้ มาไม่ต่างกัน
แต่ในวันนี้ เขาได้ค้นพบ หลักการที่เหมาะสมกับตัวเอง และกลายมาเป็น หนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
เรากำลังพูดกันถึง คุณมานะชัย ตันติกาญจนากุล หรือพี่ตู้ ซึ่งทาง MONEY LAB ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ เพื่อเรียนรู้แนวคิดการลงทุน และประสบการณ์ดี ๆ จากเขาด้วย
โดยเนื้อหาสำคัญ สรุปมาให้อ่านกันตามนี้เลย
เลือกอาจารย์ที่เหมาะสมกับเรา
ในโลกนี้ มีนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอยู่มากมาย ซึ่งแต่ละคนก็มีกระบวนท่าการลงทุน เป็นเอกลักษณ์ในแบบของตัวเอง
ซึ่งเราก็ควรจะต้องรู้จักตัวเราเองให้ดีก่อนว่า เราเหมาะสมจะเป็นนักลงทุนแบบไหน และมีใครบ้าง เหมาะสมที่เราจะเลือกเป็นอาจารย์ เพื่อเป็นต้นแบบ คอยนำทางเราบนเส้นทางสายนี้
สำหรับพี่ตู้ มีอาจารย์ที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดในการลงทุน หลัก ๆ อยู่ 2 ท่าน คือ
คุณพีรยุทธ์ เหลืองวารินกุล หรือพี่ตี่ Picatos หนึ่งในนักลงทุนยอดฝีมือ ที่คนในวงการยกย่องว่า เป็นผู้มาก่อนกาลเสมอคุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข หรือพี่เว็บ นักลงทุนผู้หลงใหลในการเรียนรู้ และนักแปลหนังสือด้านการลงทุนดี ๆ ออกมาเป็นภาษาไทยมากมาย
เช่น The Intelligent Investor, The Most Important Thing และนักลงทุนดันโด
หนังสือดีไม่กี่เล่ม อาจจะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล
หนังสือดี ๆ มีอยู่มากมาย แต่เล่มที่จะพลิกชีวิตของเรา ทั้งด้านความคิดและแนวทางการใช้ชีวิตไปตลอดกาล คงจะมีอยู่เพียงไม่กี่เล่มเท่านั้น
ซึ่งสำหรับพี่ตู้ มีอยู่ 5 เล่มที่แนะนำให้อ่าน
The Intelligent Investor ของคุณ Benjamin GrahamSapiens ของคุณ Yuval Noah HarariZero to One ของคุณ Peter ThielThink Again ของคุณ Adam GrantThe Most Important Thing ของคุณ Howard Marks
สิ่งที่อันตรายที่สุดในการลงทุน คือการไม่รู้จักตัวเอง
มีอยู่ 2 เรื่อง ที่พี่ตู้มองว่า นักลงทุนควรต้องระวังให้ดี หากอยากจะเอาตัวรอดในตลาดหุ้น ไปได้ยาวนาน
อย่างแรกเลยคือ “การไม่รู้จักตัวเอง” ไม่ว่าจะเป็น
ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ไม่รู้ว่าตัวเอง เหมาะกับการเป็นนักลงทุน หรือนักเก็งกำไรไม่รู้ว่าตัวเอง เหมาะกับการเป็น “นักลงทุนเชิงรับ” หรือ “นักลงทุนเชิงรุก” กันแน่และไม่รู้ว่า เป้าหมายทางการเงินของเราคืออะไร ต้องการจะสร้างความมั่งคั่ง หรือต้องการแค่รักษาความมั่งคั่งเท่านั้น
หากเราไม่รู้จักตัวเองเลย แถมตอบตัวเองไม่ได้ แล้วเกิดเข้ามาลงทุน โอกาสที่เราจะล้มเหลวก็ย่อมมากกว่าการประสบความสำเร็จ
อย่างที่สองก็คือ ขาดความหลงใหล และทักษะที่เหมาะสม
มีคนจำนวนมาก เข้ามาลงทุน เพราะเชื่อว่าเป็นเส้นทางสู่ความร่ำรวยอย่างรวดเร็ว โดยใช้แรงในการทำงานไม่หนักมากนัก
แต่ความจริงแล้ว การเป็นนักลงทุนเชิงรุก ที่ต้องใช้ความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะศึกษาหุ้นก่อนลงทุนอย่างจริงจังนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่เหมาะกับทุกคนเลย
เพราะการจะเป็นนักลงทุน ที่อยู่ในตลาดได้ยาวนาน สร้างความสำเร็จจนเปลี่ยนชีวิตได้ เราจะต้องมีทั้งความหลงใหลในกระบวนการลงทุน รวมถึงการมีทักษะที่เหมาะสมด้วย
ก่อนจะเข้ามาลงทุน เราก็ควรถามตัวเองก่อนว่า เราเป็นคนที่มีทักษะ ดังต่อไปนี้หรือไม่
ชอบอ่าน ชอบฟัง และขี้สงสัย ?ชอบหาคำตอบ และมีอิสระทางความคิด ?มีความหมกมุ่นในเรื่องการลงทุน ?
หากพบว่า เราไม่มีนิสัยแบบนี้เลย เราก็ควรจะเลือกเป็นนักลงทุนเชิงรับ ที่เน้นลงทุนในพวกกองทุนอิงดัชนี และกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม จะดีกว่า
ตลาดหุ้นแต่ละแห่ง มีวิธีในการลงทุน ไม่เหมือนกัน
สไตล์การลงทุนของพี่ตู้ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา โดยขึ้นอยู่กับสภาพตลาดหุ้นที่ลงทุน
ช่วงแรกที่ลงทุนหุ้นไทยเป็นหลัก แนวทางที่พี่ตู้ใช้ จะเป็นแบบ “Value Speculating” ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
แต่มีปัจจัยระยะสั้นบางอย่าง ที่จะช่วยกระตุ้นให้บริษัททำกำไรเพิ่มขึ้น ได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งวิธีในการลงทุนแบบนี้ เราจะต้องคอยเก็บรายละเอียดสำคัญ เช่น การศึกษางบการเงินอย่างละเอียด และควรจะต้องรู้ข้อมูลสำคัญบางอย่าง มากกว่านักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดด้วย
เมื่อเข้าไปลงทุนแล้ว พอคนในตลาดเริ่มสนใจหุ้นตัวนั้น จนทำให้ราคาสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงไปไกล
เราก็จะขายทำกำไรออกไป และเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นตัวใหม่ ด้วยการหมุนหุ้นไปเรื่อย ๆ โดยในพอร์ตจะเน้นถือหุ้นแบบกระจุกตัว คือแค่ประมาณ 5-8 ตัวเท่านั้น
แต่พอได้ไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ พี่ตู้กลับพบว่า การที่เราจะไปเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างของสักบริษัทหนึ่ง อย่างทะลุปรุโปร่ง เหมือนสมัยลงทุนในตลาดหุ้นไทย ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะบริษัทในต่างประเทศ มักจะมีโมเดลธุรกิจที่ซับซ้อนกว่าบริษัทในไทยมาก
พอเป็นแบบนี้ หลักการลงทุนจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม มาเป็นการเน้นมองภาพใหญ่ของคุณภาพธุรกิจ และลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาวแทน
ลับขวานให้คม ก่อนจะไปตัดไม้
หากเราสังเกตให้ดีจะพบว่า ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นที่ไหนก็ตาม ก็จะมีนักลงทุนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เข้ามาลงทุน เพราะแค่อยากจะรวย โดยไม่ได้สนใจถึงหลักการในการลงทุน ซึ่งเป็นแก่นทางความคิดเลย
พฤติกรรมแบบนี้ มักจะเป็นการ ชอบถามว่าใครลงทุนหุ้นอะไร, มีหุ้นตัวไหนน่าสนใจบ้าง ไปจนถึงขั้นซื้อหุ้นตามคนเก่ง ๆ
การทำแบบนี้ เป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะเรากำลังลงทุนในสิ่งที่เราไม่ได้เข้าใจจริง ๆ แถมคนเก่ง ๆ ที่เราไปลอกหุ้น ก็อาจจะไม่ได้คิดถูกทุกครั้งด้วย
ซึ่งพี่ตู้เชื่อว่า หนทางที่ดีกว่า ก็คือการฝึกลับขวานให้คม ผ่านการเริ่มต้นเรียนรู้กระบวนการคิดในการลงทุน จากนักลงทุนเก่ง ๆ ให้มากเข้าไว้ ก่อนที่จะไปเน้นหาหุ้นทำกำไร
หากเราทำได้แบบนี้ สะสมไปเรื่อย ๆ สักวันเราก็จะค้นพบหลักการในการลงทุน ที่เป็นแบบฉบับของเราเอง และเราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปถามหุ้นจากใครเลยก็ได้
เพราะเรามีความสามารถมากพอที่จะวิเคราะห์ธุรกิจได้อย่างเฉียบขาด ด้วยตัวของเราเอง
พี่ตู้เอง ก็ได้ผ่านกระบวนการฝึกฝนซ้ำ ๆ แบบนี้มานานหลายปี จนค้นพบหลักการวิเคราะห์หุ้น 5 ข้อ ที่เหมาะกับตัวเองแล้ว ประกอบด้วย
เป็นบริษัทคุณภาพดี ที่กำลังทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่คนส่วนใหญ่ในตลาด ยังไม่เชื่อแบบนั้น ใช่หรือไม่ ?มีศักยภาพในการเติบโต ได้อีกยาวนานหลายปี ใช่หรือไม่ ?มี Operating Leverage คือต้นทุนส่วนใหญ่ของบริษัท เป็นต้นทุนคงที่ เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายจะไม่ค่อยโตตาม จนทำให้กำไรเติบโตมากกว่ารายได้ ใช่หรือไม่ ?
โดยบริษัทที่มี Operating Leverage สูง จะส่งผลให้เมื่อเวลาผ่านไป หากบริษัทเติบโต อัตราการทำกำไรของบริษัท ก็จะพัฒนาขึ้นด้วย
มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ที่เหนือกว่าจนทำให้คู่แข่งสู้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ ?ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ คือมีภาพที่ชัดเจนของบริษัท ในอนาคตระยะยาว ใช่หรือไม่ ?
สุดยอดแนวคิด “นักลงทุนนับ 1”
Day 1 เป็นแนวคิดที่คุณ Jeff Bezos ใช้ในการสร้างธุรกิจ Amazon ให้กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร จนบริษัทยิ่งใหญ่ได้แบบในทุกวันนี้
Day 1 หรือ “นับ 1” ก็คือทัศนคติแบบมี Growth Mindset ที่มองทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำในทุกวัน เหมือนเป็นวันแรกที่เราเริ่มต้น
วันแรก คือวันที่เรามักจะไม่ค่อยมีความรู้อะไร และเราก็ไม่มีความสำเร็จอะไรให้ยึดติด
ทำให้เราจึงต้องตื่นตัว ตั้งอกตั้งใจ ถ่อมตน พร้อมเรียนรู้ และพร้อมเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ในทางตรงกันข้าม Day 2 กลับเป็นทัศนคติแบบ Fixed Mindset ที่คิดว่าตัวเองเก่งมาก รู้ทุกอย่าง ยึดติดต่อความสำเร็จของตัวเองในอดีต
จนเชื่อว่า ตนเองไม่จำเป็นต้องฟังใคร แถมไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงด้วย
ถ้าเราไม่ระวังความคิดของตัวเองให้ดี วิธีคิดอย่าง Day 2 จะส่งผลให้เราเกิดอคติ จนแก้ไขได้ยาก โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย
อย่างไรก็ตาม พี่ตู้ยอมรับว่า ในอดีตเคยมีทัศนคติแบบ Day 2 อยู่เหมือนกัน จนส่งผลให้เจอปัญหาในการลงทุน
แต่โชคดีที่ได้เริ่มปฏิบัติธรรม ทำให้มีเวลาทบทวนชีวิตตัวเอง จนตกผลึก และเลือกเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้กลายมาเป็นคนมี Growth Mindset ที่พร้อมจะเรียนรู้ตลอดไป
การมีทัศนคติแบบ Day 1 จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะนอกจากจะทำให้เราเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้นในทุกวันได้แล้ว
แนวคิดนี้ ยังจะช่วยเรา ให้สามารถรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า พวกเราคงเข้าใจถึง มุมมองอันลึกซึ้ง ทั้งด้านชีวิตและการลงทุน รวมถึงพัฒนาการทางความคิดที่ผ่านมา ในแบบของคุณมานะชัย ตันติกาญจนากุล หรือพี่ตู้ กันดีขึ้นแล้ว
แต่ก่อนที่บทความนี้จะสิ้นสุดลง ทาง MONEY LAB ก็ได้มีคำถามสุดท้าย ที่มักจะถามกับพี่ ๆ นักลงทุนทุกท่านอยู่เป็นประจำ
คำถามมีอยู่ว่า
“ถ้าวันหนึ่งในอนาคต พี่ตู้ไม่ได้ส่งต่อความมั่งคั่งให้กับทายาท แต่ส่งต่อเป็นหลักการในการจัดการด้านการเงินและการลงทุนแทน พี่ตู้จะมีคำแนะนำอย่างไร ?”
คำตอบของพี่ตู้ เป็นเรื่องที่กว้างไกลกว่าแค่เรื่องของความร่ำรวย
แต่ครอบคลุมไปถึง ทัศนคติและวิธีคิดพื้นฐาน ที่ควรจะปลูกฝังต่อลูก เพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ ไม่ว่าโลกนี้ จะเปลี่ยนแปลงไปในแบบไหนก็ตาม
นั่นคือ “รักในการเรียนรู้ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
เพราะความรู้ที่เรามีในวันนี้ สักวันก็อาจจะล้าสมัยไปแล้วก็ได้
แต่ถ้าเรามีทัศนคติแบบ Day 1 คือการอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ยึดติด พร้อมจะเปลี่ยนแปลง เมื่อข้อเท็จจริงเปลี่ยนไป
หากเราเลือกเป็นนักเรียนรู้ตลอดชีวิต ได้แบบนี้ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร ก็ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะเราจะสามารถเรียนรู้ และอยู่กับมันได้
ส่วนในเรื่องของการลงทุนนั้น ถ้าลูกอยากเอาดีด้านนี้ ก็จะสอนให้
แต่ถ้าลูกไม่ได้อยากเป็นนักลงทุน ก็จะแนะนำแค่เพียงการออมเงิน และนำเงินไปลงทุนในกองทุนอิงดัชนี ก็เพียงพอแล้ว
และทั้งหมดนี้ก็คือ เนื้อหาสำคัญที่ทาง MONEY LAB ได้สรุปมาให้จากการสัมภาษณ์กับพี่ตู้ในครั้งนี้
ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะช่วยทั้ง กระทุ้งความคิด ต่อมุมมองการใช้ชีวิตของเราต่อจากนี้
และสร้างแรงบันดาลใจ ให้เราได้พบกับหลักการลงทุนที่เหมาะสม ในแบบของเรา ไม่มากก็น้อย
สุดท้ายนี้ ทาง MONEY LAB ก็อยากขอขอบคุณ คุณมานะชัย ตันติกาญจนากุล ในการให้โอกาสสัมภาษณ์ ไว้ ณ ที่นี้ด้วย..
Reference
สัมภาษณ์พิเศษ คุณมานะชัย ตันติกาญจนากุล เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2568
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.