
ตำนานบริษัทไทย 147 ปี B.GRIMM จากร้านผลิตยายุโรปแห่งแรกในสยาม สู่ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน มูลค่า 40,000 ล้าน
24 ต.ค. 2025
ในบรรดาบริษัทที่มีอยู่มากมายในประเทศไทย มีบริษัทอยู่แห่งหนึ่ง ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานถึง 147 ปี เก่าแก่ที่สุดในไทย
ถึงแม้บริษัทนี้ จะก่อตั้งโดยชาวยุโรป แต่ก็ได้หยั่งรากลึก และเติบโตไปพร้อมกับประเทศไทยมาตลอด นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
เรากำลังพูดกันถึง บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ B.GRIMM
หากสงสัยว่า จุดเริ่มต้นของ B.GRIMM เป็นอย่างไร และทำไมบริษัท ถึงสามารถอยู่มาได้ยาวนาน จนกลายเป็นบริษัทเก่าแก่เกิน 100 ปี ได้แบบนี้
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
เรื่องราวของ B.GRIMM ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2421 เมื่อเภสัชกรชาวเยอรมัน คือคุณแบร์นฮาร์ด กริม และหุ้นส่วนชาวออสเตรียชื่อ คุณแอร์วิน มุลเลอร์
เดินทางมาเปิดร้านผลิตยายุโรป บริเวณปากซอยโรงแรมโอเรียนเต็ล บนถนนเจริญกรุง
ร้านยาแห่งนี้ นับเป็นร้านผลิตยาตะวันตกแห่งแรกในประเทศไทย
ด้วยชื่อเสียงในด้านการปรุงยาของร้านที่เป็นที่เลื่องลือไปถึงในราชสำนัก จนรัชกาลที่ 5 ได้ทรงแต่งตั้ง ให้เป็นร้านยาหลวง เพื่อคอยจัดหายาสมัยใหม่ให้แก่ในวัง
นอกเหนือจากกิจการร้านยา B.GRIMM ได้ร่วมมือกับตระกูลสนิทวงศ์ ในการนำเข้าเครื่องจักรจากยุโรปเข้ามาเพื่อขุดคลองรังสิต ความยาว 1,500 กิโลเมตร แทนการใช้แรงงานคนเป็นครั้งแรก ซึ่งคลองรังสิตถือว่าเป็นโครงการชลประทานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในยุคนั้นเลยทีเดียว
และต่อมาไม่นาน ทั้ง 2 คน ได้รับเภสัชกรชาวเยอรมันให้เข้ามาช่วยงาน นั่นคือ คุณอดอล์ฟ ลิงค์ ซึ่งเป็นต้นตระกูลของคุณฮาราลด์ ลิงค์ ประธานกรรมการบริษัท และผู้ถือหุ้นใหญ่ของ B.GRIMM ในปัจจุบัน นั่นเอง
และแล้วในปี 2457 คุณอดอล์ฟ ลิงค์ ก็ได้ซื้อกิจการทั้งหมดของ B.GRIMM หลังจากที่ผู้ก่อตั้งทั้งสองท่านต้องการที่จะย้ายกลับไปยังยุโรป ทำให้ B.GRIMM กลายมาเป็นธุรกิจของตระกูลลิงค์เต็มตัว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น บริษัทก็ต้องเจอกับช่วงเวลายากลำบาก จนทำให้ธุรกิจแทบจะต้องหยุดชะงัก รวมถึงโดนยึดทรัพย์เนื่องจากเป็นชนชาติศัตรู เพราะภัยของสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ลูกชายทั้งสองคนของคุณอดอล์ฟ เชื่อว่า การจะฝากความหวังไว้กับแค่ธุรกิจร้านขายยา คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรนัก
พวกเขาจึงได้เลือกขยายไปทำธุรกิจอื่นเพิ่มเติม เพื่อกระจายความเสี่ยง เช่น นำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ และเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาขาย อาทิ รถยนต์, เครื่องรับส่งวิทยุโทรเลข, โทรศัพท์, เครื่องปรับอากาศ และรวมถึงการนำเข้าเครื่องผลิตไฟฟ้าเข้ามาด้วย
จนกระทั่งมาถึงยุคของ คุณฮาราลด์ ลิงค์ ทางรัฐบาลไทยเริ่มมีการเปิดให้ภาคเอกชนสามารถมาทำธุรกิจผลิตไฟฟ้า เพื่อแบ่งเบาภาระของภาครัฐ
ซึ่งทาง B.GRIMM ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่เข้ามาร่วมบุกเบิกธุรกิจโรงไฟฟ้าสำหรับภาคอุตสาหกรรม และมีธุรกิจพลังงานเป็นธุรกิจหลัก
ปัจจุบัน B.GRIMM ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศไทย รวมถึงได้ขยายธุรกิจไปยัง 15 ประเทศทั่วโลก โดยมุ่งเน้นไปที่พลังงานสะอาด รวมถึงพลังงานหมุนเวียนหลากหลายประเภท มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม สูงถึง 4,155 เมกะวัตต์
และมีการกระจายตัวของรายได้ ณ ครึ่งปี 2568 จากหลากหลายช่องทาง ดังนี้
- การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 66%
- ลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทย 21%
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, การไฟฟ้านครหลวง และธุรกิจ Solar Rooftop 2%
- การขายไฟในต่างประเทศ และรายได้อื่น ๆ 10%
- ลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทย 21%
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, การไฟฟ้านครหลวง และธุรกิจ Solar Rooftop 2%
- การขายไฟในต่างประเทศ และรายได้อื่น ๆ 10%
B.GRIMM มีผลประกอบการ ที่มีความมั่นคง ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทย จะเจอกับมรสุมพัดผ่านมาสักแค่ไหน
- ปี 2566 รายได้ 57,115 ล้านบาท กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 2,104 ล้านบาท
- ปี 2567 รายได้ 55,853 ล้านบาท กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 2,227 ล้านบาท
- และล่าสุดคือ 6 เดือนแรก ปี 2568 รายได้ 28,773 ล้านบาท กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 1,224 ล้านบาท
- ปี 2567 รายได้ 55,853 ล้านบาท กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 2,227 ล้านบาท
- และล่าสุดคือ 6 เดือนแรก ปี 2568 รายได้ 28,773 ล้านบาท กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 1,224 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า นอกจากการที่ B.GRIMM จะเป็นบริษัทที่เก่าแก่และอยู่มานานถึง 147 ปีแล้ว
แต่ผลประกอบการของบริษัท ก็เป็นตัวบ่งชี้ว่า มีความเสถียรมาก เพราะสามารถสร้างรายได้ สูงกว่าปีละ 50,000 ล้านบาท อย่างต่อเนื่อง
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราน่าจะเข้าใจกันถึงที่มาที่ไปของบริษัท B.GRIMM กันดีขึ้นแล้ว
จากร้านผลิตยายุโรป ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่ไม่เคยหยุดคิดในการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ และสร้างประโยชน์ให้กับสังคม
ในวันนี้ บริษัทเดียวกันนี้ ก็ได้เติบโต จนกลายมาเป็น หนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจพลังงานภาคเอกชน ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองกับประเทศไทย มาอย่างยาวนาน..
และล่าสุดนี้เอง ทาง B.GRIMM ก็ได้เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ 2 ชุด เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2568 อายุตั้งแต่ 5 ปี ถึง 7 ปี โดยเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไป มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.9 ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.2 ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.2 ต่อปี
โดยหุ้นกู้ของบริษัท จะชำระดอกเบี้ยคงที่ ทุก ๆ 6 เดือน ตลอดอายุของหุ้นกู้
แต่สำหรับคนที่ยังกังวลเรื่องหุ้นกู้ของบริษัท ทางบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก็ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่จะเสนอขายครั้งนี้ไว้แล้ว ที่ระดับ “A-”
ซึ่งหมายความว่า บริษัทมีสถานะที่มั่นคง และงบการเงินของบริษัท ก็มีความแข็งแกร่ง
ซึ่งหมายความว่า บริษัทมีสถานะที่มั่นคง และงบการเงินของบริษัท ก็มีความแข็งแกร่ง
สำหรับการเสนอขาย จะเปิดให้ผู้ลงทุนจองซื้อหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 10-12 พฤศจิกายน 2568 โดยจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท
เสนอขายผ่าน 9 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่ ธ.กรุงเทพ (ยกเว้นสาขาไมโคร) ธ.กสิกรไทย ธ.ยูโอบี ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย ธ.ออมสิน บล.เกียรตินาคินภัทร บล.เอเซีย พลัส บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง และ บล.หยวนต้า
B.GRIMM ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานถึง 147 ปี พิสูจน์แล้วด้วยความสำเร็จและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก
และบรรลุเป้าหมายการก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593 และตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573
ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้
สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ BGRIM สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้
- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย)
- ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ CIMB Thai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
- ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-285-1555
- ธนาคารออมสิน โทร. 02-299-9245-46 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ MyMo สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป
ที่เป็นบุคคลธรรมดา
ที่เป็นบุคคลธรรมดา
- บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร)
- บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-56
- บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
- บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-555
คำเตือน: ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
References
- ข่าวประชาสัมพันธ์ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
- รายงานประจำปี 2567 บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- https://www.bgrimmpower.com/th/about-us/company-profile
- ข่าวประชาสัมพันธ์ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
- รายงานประจำปี 2567 บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- https://www.bgrimmpower.com/th/about-us/company-profile