อธิบายภาษีขายหุ้น มหากาพย์การตีความ มูลค่า 17,000,000,000 บาท แบบภาษาบ้าน ๆ

อธิบายภาษีขายหุ้น มหากาพย์การตีความ มูลค่า 17,000,000,000 บาท แบบภาษาบ้าน ๆ

19 พ.ย. 2025
หนึ่งในประเด็นร้อนแรงที่ถูกพูดถึงยาวนานตั้งแต่ปี 2549
คือคดีขายหุ้นของอดีตนายกรัฐมนตรี
ซึ่งเป็นดีลมูลค่า 73,274 ล้านบาท และถือเป็นหนึ่งในดีลประวัติศาสตร์ของไทยในเวลานั้น
โดยล่าสุดศาลฎีกาตัดสินว่า กรมสรรพากรสามารถเรียกเก็บภาษี พร้อมเบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม รวมแล้วประมาณ 17,600 ล้านบาท
พอมีคำตัดสินออกมาแบบนี้ 
หลายคนก็น่าจะสงสัยเหมือนกันว่า…
การขายหุ้นในตลาดหุ้นปกติก็ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว
แล้วทำไมคดีนี้ถึงถูกตีความว่า ต้องเสียภาษีมหาศาล ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย  โดยจะอธิบายเฉพาะประเด็น การตีความกฎหมายภาษีเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับมุมการเมือง
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เราย้อนกลับไปดูโครงสร้างดีลนี้แบบเร็ว ๆ กันก่อน
ตอนนั้น “คุณพ่อ” กำลังจะเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ทำให้ไม่สามารถถือหุ้นนั้นในนามส่วนตัวได้ จึงมีการตั้งบริษัท A ในต่างประเทศไว้ถือหุ้นแทน
ต่อมาบริษัท A มีแผนจะขายหุ้นให้กับบริษัท T 
ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนของรัฐบาลต่างประเทศรายหนึ่ง
แต่มีปัญหาใหญ่คือ ถ้าบริษัท A ซึ่งเป็นนิติบุคคล ขายหุ้นให้ T แล้วได้กำไร บริษัทจะต้องเสียภาษี 
เลยต้องปรับรูปแบบการขายหุ้นใหม่ จากเดิมที่บริษัท A เป็นคนขายแล้วต้องเสียภาษี 
มาเป็นการที่บริษัท A โอนหุ้นให้ลูกก่อนในราคาต่ำ แล้วให้ลูกเอาหุ้นไปขายต่อให้บริษัท T ในตลาดหุ้นแทน
ตรงนี้เองที่ทำให้เรื่องนี้ถูกถกเถียงกันจนถึงปัจจุบัน ว่าควรเสียภาษีหรือไม่
เพราะอย่างที่หลายคนรู้ว่า บุคคลธรรมดาขายหุ้นในตลาดหุ้นไทยนั้น กำไรจากส่วนต่างราคา หรือ Capital Gain ถูกยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี 
ทำให้ก็มีด้านที่มองได้ว่า ธุรกรรมการขายหุ้นดังกล่าวไม่ควรจะโดนเรียกเก็บภาษี 
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็สามารถมองว่าการทำธุรกรรมแบบนี้ ถือเป็นเจตนาทำนิติกรรมอำพรางไม่ให้โดนเก็บภาษี ได้เหมือนกัน
ซึ่งจากคำตัดสินสุดท้ายของศาล รวมถึงทางกรมสรรพากรเอง แสดงให้เห็นว่าทั้ง 2 องค์กรมองไปในด้านนี้เหมือนกัน
เพราะการตีความไม่ได้ดูแค่ตอนที่ลูกขายหุ้นในตลาด แต่ไปมองช่วงเวลาที่ลูกได้รับหุ้นมาตั้งแต่ต้น
เพราะในตอนนั้น บริษัท A ขายหุ้นให้ลูกในราคาเพียง 1 บาททั้งที่ราคาหุ้นซื้อขายกันในตลาดหุ้นอยู่ที่ 49.25 บาท
ส่วนต่างที่มากถึง 40 กว่าเท่าตรงนี้ถูกมองว่าลูกได้รับประโยชน์มูลค่ามหาศาลตั้งแต่ตอนที่รับหุ้นแล้ว ไม่ใช่เพิ่งได้ตอนขายหุ้น
และนี่แหละที่กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คดีนี้ถูกตีความว่าต้องเสียภาษีมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท 
ซึ่งความน่าสนใจของการตีความ
ถูกแยกออกมาเป็น 2 ประเด็น คือ
1. ส่วนต่างกว่า 40 เท่าถูกมองว่าเป็นรายได้ตามมาตรา 39
เพราะกฎหมายไม่ได้จำกัดความคำว่า “รายได้” ให้อยู่แค่เงินที่โอนเข้าบัญชีเท่านั้น 
แต่รวมถึงของที่มีมูลค่าและประโยชน์ที่ได้มา ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เหมือนกันด้วย
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็เช่น

-การที่บริษัทขายหุ้นให้พนักงานในราคาถูกกว่าตลาด
-นายจ้างให้บ้านพักอยู่ฟรี
-นายจ้างออกค่าภาษีให้พนักงาน
ทั้งหมดนี้แม้จะไม่ได้เป็นเงินสด แต่กฎหมายถือว่า เป็นรายได้เหมือนกัน ดังนั้นถ้าเราได้ผลประโยชน์เหล่านี้
เราต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีด้วย
และในคดีนี้ก็ไม่ต่างกัน การที่ลูกได้หุ้นมาในราคา 1 บาท
ทั้งที่หุ้นเดียวกันมีค่าจริงในตลาด 49.25 บาท
ส่วนต่างราว 48 บาทต่อหุ้น จึงถูกมองว่า เป็นประโยชน์ที่สามารถตีเป็นตัวเงินได้ ทำให้ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีนั่นเอง
2. ส่วนต่างนี้ถูกจัดเป็นรายได้ประเภทที่ 2
ทีนี้เมื่อมองว่า ส่วนต่างนี้ถูกนับเป็นรายได้ที่ลูกได้รับจริง
คำถามต่อมาก็คือ แล้วจะจัดเป็นรายได้ประเภทไหน ? 
ซึ่งคำตอบก็คือ รายได้ประเภทที่ 2
หลายคนได้ยินรายได้ประเภทที่ 2 ก็จะนึกถึงงานฟรีแลนซ์ ค่าจ้าง ค่านายหน้า แต่อันที่จริงแล้วรายได้ประเภทนี้ กว้างกว่านั้นเยอะมาก
เพราะรายได้ประเภทที่ 2 ไม่ได้หมายถึง แค่ค่าจ้างที่รับเป็นงาน ๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงรายได้ หรือผลประโยชน์ที่ได้เพราะหน้าที่ หรือตำแหน่งที่ทำอยู่ ในลักษณะที่ไม่ใช่พนักงานประจำด้วย
และผลประโยชน์นั้นก็รวมถึงการที่บริษัทขายหุ้นให้พนักงานในราคาต่ำกว่าตลาดด้วย 
โดยวิธีตีมูลค่าผลประโยชน์ก็คือ 
ราคาตลาดของหุ้นในวันที่พนักงานได้รับสิทธิ์นั้น - ราคาหุ้นที่จ่ายซื้อจริงตามสิทธิ์ = มูลค่าผลประโยชน์ที่ถูกตีเป็นเงินได้  
ซึ่งพอมองกลับมาที่คดีนี้ ส่วนต่างราว 48 บาทต่อหุ้น ที่ลูกได้ซื้อหุ้นมาในราคา 1 บาททั้งที่มีค่าจริง 49.25 บาทนั้น
จึงถูกมองว่าเป็นผลประโยชน์ที่ลูกได้รับจากการเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นของบริษัท และถูกจัดเป็นรายได้ประเภทที่ 2 และต้องนำมาคำนวณภาษีนั่นเอง
ทีนี้เมื่อส่วนต่างถูกนับเป็นผลประโยชน์ที่ได้รับ ผลประโยชน์นั้นก็ต้องถูกนับในปีที่มันเกิดขึ้นจริง ซึ่งก็คือช่วงปี 2549 ที่ลูกได้รับหุ้นมาในราคาต่ำกว่าตลาด
พอนำรายได้นี้กลับไปคำนวณภาษี รวมกับเบี้ยปรับ และ เงินเพิ่มตามกฎหมาย ก็เลยทำให้ยอดที่ต้องจ่ายสะสมรวมแล้วเป็นมูลค่ากว่า 17,600 ล้านบาท
และศาลฎีกาก็มองว่าความจริงแล้วลูกเป็นแค่นอมินี และตัวการที่แท้จริงของธุรกรรมทั้งหมดก็คือคุณพ่อ 
ดังนั้น ภาษีจำนวนมหาศาลก้อนนี้ จึงไม่ได้ถูกเรียกเก็บจากลูกแต่ถูกเรียกเก็บ จากพ่อโดยตรงเลยนั่นเอง.. 
#วางแผนการเงิน
#หลักการวางแผนการเงิน
#ภาษีหุ้น
References
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.