
แจกโปรแกรม AI ใช้ประเมินมูลค่าหุ้น แบบวิธีที่ Warren Buffett ใช้ พร้อมคู่มือการใช้งาน
21 ต.ค. 2025
หากพูดถึงการประเมินมูลค่าหุ้น หลายคนน่าจะรู้สึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อย เพราะกลัวที่จะต้องเจอสูตรยุ่บยั่บ และตัวเลขการเงินมากมาย ที่ต้องใช้เวลากว่าจะเข้าใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการประเมินมูลค่าที่เรียกว่า Discounted Cash Flow
ที่ว่ากันว่า เป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งนักลงทุนในตำนานอย่างคุณปู่ Warren Buffett ก็ยังใช้งาน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นวิธีที่สลับซับซ้อนที่สุดด้วย
ชีวิตเราคงจะง่ายขึ้นมากเลยทีเดียว ถ้ามีเครื่องมือมาช่วยเรา ในการประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธีนี้ โดยแค่กรอกข้อมูลลงไป ก็ได้คำตอบออกมาแล้ว
ซึ่งทาง MONEY LAB ได้พัฒนาโปรแกรมชื่อว่า “ประเมินมูลค่าหุ้นด้วย DCF แบบง่าย ๆ BY MONEY LAB” เพื่อให้พวกเราทุกคนได้ใช้งานกันแบบฟรี ๆ ผ่านลิงก์ในคอมเมนต์ใต้โพสต์
หากสงสัยว่า โปรแกรมนี้ มีวิธีในการใช้งานอย่างไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
ก่อนที่เราจะไปเข้าใจกันถึงวิธีใช้งานโปรแกรมนี้ ต้องขออธิบายกลไกการทำงานของการประเมินมูลค่าด้วยวิธี Discounted Cash Flow หรือ “การคิดลดกระแสเงินสด” กันก่อน
แนวคิดของการคิดลดกระแสเงินสด หรือเรียกย่อ ๆ ว่า DCF คือการมองว่า มูลค่าที่แท้จริงของบริษัท เป็นผลรวมของกระแสเงินสดอิสระทุกช่วงเวลา ที่บริษัทสามารถทำได้จากการทำธุรกิจไปตลอดช่วงชีวิต
แต่ด้วยความที่เราต้องซื้อหุ้นเพื่อลงทุนในวันนี้เลย กระแสเงินสดในอนาคตเหล่านั้น จึงต้องถูกคิดลดกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน ด้วยอัตราคิดลดที่เหมาะสม นั่นเอง
หมายความว่า แค่เรารู้ว่าบริษัทมีแนวโน้มจะสร้างกระแสเงินสดอิสระให้เติบโตไปอีกเท่าไรในอนาคต และต้องใช้อัตราคิดลดแค่ไหน เราก็จะหามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ออกมาได้แล้ว
สำหรับโปรแกรมประเมินมูลค่าหุ้นด้วย DCF ของเรานั้น จะมีสิ่งที่เราต้องกรอก เวลานำไปใช้จริง ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 : เริ่มจากกรอก “เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน” และ “ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน” ก่อน
- เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน ซึ่งอยู่ในงบกระแสเงินสดของบริษัท
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน หรือเรียกว่า Capital Expenditure อยู่ในงบกระแสเงินสดเหมือนกัน
แต่จะอยู่ในส่วนของเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการลงทุน โดยมักจะเป็นผลรวมของ ค่าใช้จ่ายในการซื้อที่ดิน, อาคาร และอุปกรณ์ รวมกับค่าใช้จ่ายซื้อพวกสินทรัพย์ไม่มีตัวตน
พอเรากรอกทั้ง เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน ไปแล้ว เราก็จะสังเกตเห็นว่า จะมีตัวเลข Free Cash Flow ขึ้นมา
Free Cash Flow หรือกระแสเงินสดอิสระ ก็คือเงินสดที่บริษัทคงเหลืออยู่ หลังจากหักค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจทุกอย่างไปหมดแล้ว
บริษัทสามารถเลือกนำเงินก้อนนี้ ไปทำอะไรก็ได้ ตั้งแต่การจ่ายหนี้คืน, จ่ายเงินปันผล หรือซื้อหุ้นคืนก็ได้
โดย Free Cash Flow สามารถคำนวณหาได้จากสูตร
เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน - ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน
ขั้นตอนที่ 2 : กรอกอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง, จำนวนหุ้นที่ออกจำหน่าย และ Margin of Safety
- อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง (Discount Rate) หรือเรียกอีกอย่างว่า “อัตราคิดลด” คือสิ่งที่เราจะใช้เพื่อ แปลงให้กระแสเงินสดของบริษัทในอนาคต กลับมาเป็นมูลค่าในปัจจุบัน
โดยปกติ อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังของนักลงทุนส่วนใหญ่ มักจะใช้อยู่ระหว่าง 15% ถึง 20%
หรือสำหรับคุณปู่ Warren Buffett เอง ส่วนตัวเขาก็จะใช้เป็นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี
โดยในปัจจุบัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีของสหรัฐอเมริกาก็จะอยู่ที่ประมาณ 4% ส่วนของไทยก็อยู่ที่ 1.5% แล้วแต่ว่าเราใช้ประเมินมูลค่าหุ้นไทยหรือหุ้นสหรัฐฯ
- จำนวนหุ้นที่ออกจำหน่าย คือจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท
- Margin of Safety หรือ “ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย” คือตัวเลขที่เราจะกรอกลงไป เพื่อหาราคาหุ้นที่เราจะต้องซื้อไม่ให้เกินราคานี้
เพราะการประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DCF แบบนี้ เป็นการมองไปยังการเติบโตในอนาคตข้างหน้า ที่ไม่มีใครรู้ว่าการเติบโตที่เราคาดการณ์ไว้จะถูกต้องหรือไม่
การซื้อหุ้นในราคาที่มี Margin of Safety ซึ่งก็คือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่เราคำนวณได้สัก 30% ถึง 50% จึงทำให้เราค่อนข้างมั่นใจขึ้นได้ ว่าได้ซื้อหุ้นในราคาถูกจริง ๆ
ขั้นตอนที่ 3 : เลือก “อัตราการเติบโต” ให้เหมาะสม
- ในโปรแกรมของเรา จะมีตัวเลือกอัตราการเติบโต อยู่ทั้งหมด 4 หมวดด้วยกัน ตั้งแต่ 1-Stage ไปจนถึง 4-Stage
ที่เป็นแบบนี้ เพื่อให้เราสามารถใช้ในการประเมินมูลค่าของแต่ละบริษัท ได้อย่างสมจริงมากขึ้น
เพราะโดยธรรมชาติปกติของบริษัทหนึ่ง การเติบโตในแต่ละช่วงเวลา มักจะไม่เท่ากัน
ในช่วงแรก บริษัทมักจะมีอัตราการเติบโตที่สูง แต่พอเวลาผ่านไป เมื่อบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้น อัตราการเติบโตก็จะเริ่มลดลงมาเรื่อย ๆ
ดังนั้น เราจึงมีอัตราการเติบโตในหลายรูปแบบ ให้เลือกได้
- และในส่วนสุดท้าย ที่เราต้องอย่าลืมกรอกก็คือ Terminal Growth Rate หรืออัตราการเติบโตในระยะยาวของบริษัท
โดยจะเป็นตัวเลขที่เราเชื่อว่า เมื่อบริษัทสามารถเติบโตได้ไปถึงจุดที่อิ่มตัวมากแล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นไป บริษัทจะมีอัตราการเติบโตเท่ากับอัตราเงินเฟ้อ หรืออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศในระยะยาว
โดยในกรณีของเราก็จะให้ตัวเลขไว้ที่ประมาณ 3% ต่อปี ไปเรื่อย ๆ
ทีนี้ เราลองมาดูตัวอย่างการใช้งานจริง ผ่านการประเมินมูลค่าบริษัท A กันบ้าง
สมมติว่า บริษัท A มี
- เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน 1,000,000,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 500,000,000 บาท
- คาดหวังอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 10% ต่อปี
- จำนวนหุ้นทั้งหมด 1,000,000,000 หุ้น
- คาดว่าอัตราการเติบโตของบริษัท จะมีอยู่ 2 ช่วงหลัก เลยเลือกเป็น 2-Stage
โดย 5 ปีแรก จะมีอัตราการเติบโต 15% ต่อปี และหลังจากนั้นอีก 5 ปี อัตราการเติบโตจะลดลงเหลือ 10% ต่อปี
หมายความว่า ปีที่ 1-5 บริษัทจะมีอัตราการเติบโต 15% ต่อปี และปีที่ 6-10 อัตราการเติบโตจะเท่ากับ 10% ต่อปี
- อัตราการเติบโตตลอดชีพของบริษัท เมื่อเติบโตเต็มที่ หรือ Terminal Growth Rate คือหลังจากปีที่ 10 เป็นต้นไป จะอยู่ที่ 3% ต่อปี
- และสุดท้ายคือ การกำหนด Margin of Safety หรือส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย ไว้ที่ 30%
พอเรากรอกข้อมูลทั้งหมดนี้ลงไป เราก็จะได้คำตอบคือมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น A เท่ากับ 15.17 บาทต่อหุ้น
และราคาหุ้นที่เราจะต้องซื้อไม่เกินนี้ หรือเป็นราคาที่ปรับจาก Margin of Safety แล้ว ก็จะอยู่ที่ 10.62 บาทต่อหุ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราน่าจะเข้าใจกันทั้งแนวคิดการประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Discounted Cash Flow และวิธีใช้งานโปรแกรมนี้ ไปพร้อมกันแล้ว
ซึ่งหากเราอยากจะเชี่ยวชาญในการใช้วิธีนี้ ก็ขอให้ลองเล่นโปรแกรมนี้บ่อย ๆ ผ่านการเลือกหุ้นที่เราสนใจ มาฝึกทำตามดู สักวันเราก็น่าจะเก่งขึ้น ได้ไม่มากก็น้อยเลย..
#ลงทุน
#AI
#ประเมินมูลค่าหุ้น
ประเมินมูลค่าหุ้นด้วย DCF แบบง่าย ๆ BY MONEY LAB