
แจกโปรแกรม AI ไว้วางแผน “การผ่อนบ้าน ก่อนกู้ซื้อบ้าน” พร้อมวิธีใช้
28 ต.ค. 2025
การมีบ้านเป็นของตัวเอง คือหนึ่งในความฝันร่วมกันของคนไทยหลายคน
แต่กว่าจะได้บ้านมาสัก 1 หลัง หากเราไม่ได้มีเงินสดก้อนใหญ่ ขนาดหลายล้านบาท ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องใช้วิธีในการกู้เงินเพื่อมาซื้อบ้าน แล้วผ่อนกันไปยาว ๆ
ซึ่งคงจะเป็นเรื่องดีกับเราไม่น้อยเลย ถ้ามีเครื่องมือ ที่ใช้งานง่าย ๆ แต่จะช่วยเราในการวางแผนกู้ซื้อบ้าน ได้อย่างครบถ้วน
ทาง MONEY LAB ได้ใช้ AI สร้างอีกโปรแกรมหนึ่งขึ้นมา ที่จะมาเติมเต็มความต้องการนี้ ต่อทุกคนที่มีความฝันอยากจะมีบ้าน เป็นของตัวเอง
หากสงสัยว่า โปรแกรมนี้ใช้งานอย่างไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
ก่อนที่เราจะไปเรียนรู้วิธีในการใช้โปรแกรมนี้ เราลองมาทำความเข้าใจถึงเรื่องปกติที่เราจะต้องเจอ เวลาเราเลือกกู้ซื้อบ้านกัน ประกอบด้วย
- สินเชื่อบ้านส่วนใหญ่จะเป็นสินเชื่อที่มีระยะเวลายาวนาน 10 ถึง 30 ปี เพราะการผ่อนที่ยาวนานแบบนี้ ทำให้เงินผ่อนบ้านต่องวดไม่มากจนเกินไป
- ดอกเบี้ยตอนกู้ซื้อบ้าน เรียกว่า MRR ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ ที่ธนาคารพาณิชย์จะเรียกเก็บจากลูกค้าที่มีเครดิตดี เช่น สินเชื่อผู้อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นต้น
- การผ่อนแบบ “ลดต้น ลดดอก” หมายความว่า เมื่อเรากู้เงินมาซื้อบ้าน เราจะมีระยะเวลาในการผ่อนตามที่ตกลงเอาไว้ โดยดอกเบี้ยจะถูกคิดอยู่ตลอดเวลา จากเงินต้นของสินเชื่อกู้ซื้อบ้าน
โดยเงินที่เราผ่อนบ้าน ตามที่กำหนดไว้ในแต่ละงวด จะถูกนำเงินไปจ่ายดอกเบี้ยก่อนเสมอ แล้วถึงจะค่อยตัดเงินต้น
ยิ่งเรามีเงินต้นในการกู้ซื้อบ้านเป็นจำนวนมาก เงินที่เราผ่อนบ้านในแต่ละเดือน ส่วนใหญ่ก็จะถูกหักไปจ่ายดอกเบี้ย
แต่เมื่อเราผ่อนไปเรื่อย ๆ จนเงินต้นเริ่มน้อยลง หลังจากนั้น เงินในแต่ละงวดที่เราจ่าย ก็จะเริ่มตัดเงินต้น มากกว่าดอกเบี้ยไปเอง
- ในแต่ละเดือน ถ้าเราเลือกโปะเงินเพิ่มขึ้น จะช่วยให้เราผ่อนบ้านหมด ได้เร็วขึ้น
นั่นก็เพราะว่า เงินที่เราจ่ายเพิ่มไป จะไปช่วยหักเงินต้นได้มากขึ้น และเมื่อเงินต้นเหลือน้อยลง เราก็จะถูกคิดดอกเบี้ยน้อยลง
หากเราพยายามโปะเพิ่มแบบนี้ ได้อย่างสม่ำเสมอ ระยะเวลาในการปิดหนี้บ้านของเรา ก็จะสั้นกว่า การไม่ทำอะไรเลย ไปอีกหลายปี
- การ Refinance และ Retention เป็นอีกหนึ่งวิธี ในการช่วยเราปิดหนี้บ้านได้เร็วขึ้นเช่นกัน
โดยการ Refinance คือการที่เรายื่นขอกู้สินเชื่อกับธนาคารแห่งใหม่ เพื่อไปปิดหนี้บ้านกับธนาคารเดิม ซึ่งสินเชื่อกับธนาคารแห่งใหม่นี้ จะช่วยให้เราจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่น้อยกว่าเดิมได้
ส่วนการ Retention คือการขอเจรจากับธนาคารเดิมที่กู้ซื้อบ้านเพื่อให้จ่ายดอกเบี้ยถูกลง ซึ่งแม้ว่าอาจจะลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าการ Refinance แต่สะดวก รวดเร็วกว่า และมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า
พอเข้าใจแล้ว ก็มาดูวิธีใช้โปรแกรมนี้กัน โดยสิ่งที่เราจะต้องกรอกสำหรับโปรแกรมนี้ ประกอบด้วย
- ราคาบ้าน คือจำนวนเงินทั้งหมดที่เราต้องการจะกู้ เพื่อซื้อบ้าน
- เงินดาวน์ คือจำนวนเงินต้นที่เรามี เพื่อเตรียมไว้สำหรับการซื้อบ้าน โดยมีให้เลือกเป็นทั้งแบบจำนวนเงิน และแบบเปอร์เซ็นต์
หากเรามีเงินดาวน์เยอะหน่อย ก็จะทำให้จำนวนเงินที่เราจะกู้ซื้อบ้าน เหลือน้อยลง
- จำนวนเงินกู้ คือจำนวนเงินที่เราต้องการจะกู้จริง ๆ โดยตรงส่วนนี้ เราไม่ต้องกรอก เพราะโปรแกรมจะคำนวณมาให้แล้วอัตโนมัติ จากการนำ “ราคาบ้าน - เงินดาวน์”
- อัตราดอกเบี้ย คืออัตราดอกเบี้ย MRR เฉลี่ยต่อปี ที่เราจะโดนคิด เวลากู้ซื้อบ้าน
- ระยะเวลาในการกู้ คือจำนวนปีในการผ่อนหนี้ ที่เราตกลงกับทางธนาคารไว้
- ผ่อนเพิ่มต่อเดือน คือจำนวนเงินที่เราตั้งใจจะโปะเพิ่มในทุกเดือน เพื่อผ่อนบ้านให้หมดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ในโปรแกรมของเรา ยังมีตัวเลือกเพิ่มเติมอย่าง “มีโปรโมชันดอกเบี้ยพิเศษช่วงแรก” ด้วย
เพราะในสมัยนี้ ทางผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธนาคาร ก็มักจะร่วมมือกัน จัดโปรโมชันเพื่อจูงใจให้คนมากู้ซื้อบ้านกัน
เช่น ในช่วง 3 ปีแรกที่เริ่มผ่อนบ้าน ก็อาจจะคิดดอกเบี้ยที่ต่ำมาก จนอาจจะเหลือแค่ 0% เลยก็ได้
เพราะฉะนั้น ในโปรแกรมของเรา จึงมีตัวเลือกมาให้ครบเลย คือ
- ดอกเบี้ยโปรโมชัน
- ระยะเวลาโปรโมชัน
- และดอกเบี้ยหลังโปรโมชัน ก็คือดอกเบี้ย MRR เฉลี่ยปกติ ที่เราจะต้องเจอเวลากู้ซื้อบ้าน
ทีนี้ ลองมาดูตัวอย่างจริงกันบ้าง เพื่อให้เข้าใจกันง่าย ๆ
1. กรณีของคุณ A
- ต้องการซื้อบ้านในราคา 5,000,000 บาท โดยไม่มีเงินดาวน์เลย ทำให้มีจำนวนกู้เงินรวม 5,000,000 บาท
- อัตราดอกเบี้ย MRR เฉลี่ยที่ 6% ต่อปี
- ระยะเวลาในการกู้ 30 ปี
- ไม่มีการโปะเพิ่มในแต่ละเดือนเลย
เมื่อคุณ A กรอกข้อมูลไปในโปรแกรมแล้ว ก็จะได้จำนวนเงินที่คุณ A จะต้องผ่อนบ้านในแต่ละงวดคือ 29,977.53 บาทต่อเดือน ไปอีก 360 เดือน
ถ้าคุณ A เลือกผ่อนแบบนี้ไปอีก จนถึงงวดที่ 223 หรือประมาณ 18 ปี ในตอนนั้น เงินที่ผ่อนบ้านไป จึงจะเริ่มตัดเงินต้น มากกว่าการจ่ายดอกเบี้ย
โดยจะสรุปจำนวนเงินต้น และจำนวนดอกเบี้ย ที่คุณ A จะต้องจ่าย เป็นแบบนี้
- เงินต้น 5,000,000 บาท
- ดอกเบี้ย 5,791,909.45 บาท
2. กรณีของคุณ B
คุณ B เอง ก็กำลังจะทำทุกอย่างเหมือนกับคุณ A แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คุณ B จะเลือกโปะบ้านเพิ่มอีก เดือนละ 2,000 บาททุกเดือน
ทำให้ในช่อง “ผ่อนเพิ่มต่อเดือน” คุณ B จะกรอก “2,000” บาทลงไป
ผลลัพธ์ของการคำนวณ จะพบว่า คุณ B จะต้องผ่อนบ้าน เดือนละ 31,977.53 บาท
แต่จะทำให้ ระยะเวลาในการผ่อนบ้านของคุณ B ลดลงเหลือแค่ 306 เดือน หรือน้อยกว่าคุณ A ที่ไม่มีการโปะเพิ่มเลย ถึงเกือบ 5 ปี
และสำหรับจำนวนเงินต้น และจำนวนดอกเบี้ย ที่คุณ B ต้องจ่าย จะเป็นแบบนี้
- เงินต้น 5,000,000 บาท
- ดอกเบี้ย 4,760,460.58 บาท
3. กรณีของคุณ C
คุณ C จะทำเพิ่มเติมจากคุณ A และคุณ B ก็คือ มีเงินดาวน์ถึง 20% ของเงินต้น และผ่อนเพิ่มต่อเดือน เดือนละ 2,000 บาทด้วย
ทำให้จำนวนเงินที่คุณ C จะต้องกู้ จะเหลือเพียง 4,000,000 บาท
เมื่อกรอกข้อมูลไปแล้ว พบว่า เงินที่คุณ C จะต้องผ่อน เท่ากับ 25,982.02 บาทต่อเดือน และระยะเวลาในการผ่อน ก็จะลดลงเหลือเพียง 295 งวดเท่านั้น
โดยจำนวนเงินต้น และจำนวนดอกเบี้ย ที่คุณ C ต้องจ่าย จะเป็นแบบนี้
- เงินต้น 4,000,000 บาท
- ดอกเบี้ย 3,650,759.40 บาท
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราน่าจะเข้าใจทั้งเรื่องแนวคิด เพื่อเตรียมวางแผนกู้ซื้อบ้าน และวิธีใช้โปรแกรม เพื่อหาแผนการที่เหมาะสมกับเรา กันดีขึ้นแล้ว
เพราะโดยปกติแล้ว เมื่อเราตัดสินใจกู้ซื้อบ้าน ก็เหมือนกับเราได้เลือกหนทางที่จะก้าวเดิน คือการต้องผ่อนหนี้บ้าน ไปเป็นเวลาอีกหลายปี
หากเราไม่วางแผนให้ดีตั้งแต่เนิ่น ๆ เราก็อาจจะเจอกับปัญหา จนจิตใจเราต้องพบกับความท้อแท้ห่อเหี่ยว ในระหว่างทาง อยู่บ่อย ๆ ก็เป็นได้
แต่ถ้าเราจัดการได้ดี คิดมาอย่างรอบคอบ และมีแผนสำรองเตรียมเอาไว้เสมอ นอกจากเราจะได้มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว
ในทุกจังหวะที่เราก้าวเดิน ใจเราก็จะมีความสุข และเราก็จะเดินไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้ คือหนี้บ้านของเราหมดในสักวันนั่นเอง
ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โปรแกรมนี้คงจะพอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง เพื่อช่วยเติมเต็มความฝันของผู้คน ที่อยากจะมีบ้านเป็นของตัวเอง ให้เป็นจริง..
#วางแผนการเงิน
#AI
#กู้ซื้อบ้าน
โปรแกรมคำนวณการผ่อนบ้าน แบบง่าย ๆ BY MONEY LAB