รู้จัก Cameron Newell เทรดเดอร์ ที่ทำให้พอร์ต โตเป็น 5,000 เท่า ใน 9 เดือน

รู้จัก Cameron Newell เทรดเดอร์ ที่ทำให้พอร์ต โตเป็น 5,000 เท่า ใน 9 เดือน

30 พ.ค. 2023
รู้จัก Cameron Newell เทรดเดอร์ ที่ทำให้พอร์ต โตเป็น 5,000 เท่า ใน 9 เดือน - BillionMoney
การปั้นมูลค่าพอร์ตการลงทุน ให้เติบโตหลาย ๆ เท่าอย่างรวดเร็ว ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมาย ที่นักลงทุนทุกคนปรารถนา
แต่รู้หรือไม่ว่า เมื่อปี 2020 มีเทรดเดอร์ชาวอเมริกันคนหนึ่ง ที่ชื่อว่าคุณ Cameron Newell สามารถปั้นพอร์ตการลงทุนของตัวเอง จากเงินเพียงแค่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กลายเป็น 5,000,000 ดอลลาร์สหรัฐได้ ในเวลาแค่ 256 วัน หรือประมาณ 8 เดือนครึ่งเท่านั้น
ซึ่งผลการเทรดนี้ ยังได้ถูกยืนยันจากทางสำนักข่าว Business Insider อีกด้วย หลังจากที่ได้เข้าไปตรวจสอบ รายการเดินบัญชี และเอกสารเสียภาษี
และถ้าหากคุณสงสัย ว่าคุณ Cameron Newell มีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร ถึงสามารถปั้นพอร์ตการลงทุนของตัวเอง ให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ ?
BillionMoney จะย่อยให้เข้าใจ
จุดเริ่มต้นของการเข้าสู่โลกการลงทุนของคุณ Cameron Newell ก็ไม่ต่างไปจากนักลงทุนทั่วไปนัก เพราะเขาเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาด จากคำชักชวนของเพื่อนร่วมชั้นในวิทยาลัย เมื่อปี 2016
ด้วยความที่คุณ Newell ไม่ได้ศึกษาเรื่องการลงทุนมาก่อน ทำให้เขาลงทุนโดยไม่มีกลยุทธ์ หรือการบริหารเงินเลย เขายังได้บอกอีกว่าในตอนนั้น แอปพลิเคชันซื้อขายหุ้นที่เขาใช้ ไม่มีแม้แต่กราฟให้ดูด้วยซ้ำ
เขาจึงได้รับบทเรียนราคาแพง จากการลงทุนในตลาดหุ้น ที่เขาหวังว่าจะเป็นแหล่งทำเงินง่าย ๆ ด้วยการทำพอร์ตแตก 2 ครั้ง
จนทำให้ขาดทุนถึง 9,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 330,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ คิดเป็นครึ่งหนึ่งของเงินเก็บทั้งหมดที่เขามี
แต่คุณ Newell ก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ที่จะเดินในเส้นทางของเทรดเดอร์ต่อ
เพราะหลังจากนั้น เขากลับไปศึกษาเกี่ยวกับการเทรดอย่างจริงจัง ด้วยการฟังคลิปวิดีโอสอนการเทรดใน YouTube จากหลากหลายช่อง ก่อนจะนำมาสรุปให้เป็นแนวทางการเทรดของตัวเอง
และเมื่อได้ศึกษาทฤษฎีจนเข้าใจแล้ว คุณ Newell ก็ได้ลองปฏิบัติ ด้วยการเทรดแบบจำลอง ซึ่งไม่ได้ใช้เงินจริง ๆ หรือที่เรียกว่า Paper Trade ให้ช่ำชองก่อนลงสนามจริง
เมื่อมั่นใจแล้ว คุณ Newell ก็ได้กลับมาเริ่มต้นการเทรดอีกครั้ง ในช่วงกลางปี 2017 โดยในครั้งนี้เขาได้เริ่มต้นด้วยเงินเพียงแค่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
โดยเขาให้เหตุผลว่า การขาดทุนจากตลาดหุ้นนั้น ก็ให้บทเรียนกับเราไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะขาดทุน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ
เพราะฉะนั้นเขาเลือกที่จะเริ่มต้นด้วยจำนวนเงินน้อย ๆ ดีกว่า จะได้ไม่ต้องได้รับบทเรียน เป็นการขาดทุนอย่างยับเยินอีก เหมือนอย่างที่ผ่านมา
ถึงแม้จะเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย แต่เขากลับมีเป้าหมายสุดยิ่งใหญ่ ด้วยการจะปั้นพอร์ตการลงทุน ให้ไปถึง 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งคุณ Newell ที่ศึกษาเรื่องการลงทุนมาอย่างจริงจังแล้ว ก็สามารถปั้นพอร์ตการลงทุนของตัวเอง จาก 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กลายเป็น 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐได้ ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 10 เดือนเท่านั้น
ก่อนที่ในปลายเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 คุณ Newell จะท้าทายตัวเองอีกครั้ง ด้วยการตั้งเป้าหมายว่า จะปั้นพอร์ตการลงทุนจาก 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้ไปถึง 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ อีกครั้ง
ในครั้งนี้เขาใช้เวลาเพียงแค่ 109 วัน หรือไม่ถึง 4 เดือน ในการปั้นพอร์ตให้ถึง 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่เขาจะขยับเป้าหมายเป็น 5,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ และทำได้ในอีก 4 เดือนต่อมา เหมือนที่ได้กล่าวไปข้างต้น
โดยสินทรัพย์ที่คุณ Newell ถนัดที่จะลงทุน ก็คือพวกหุ้นขนาดเล็ก ที่มีราคาถูก และหุ้นเหล่านั้นจะต้องเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง
เพราะถ้าหากเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ แม้ราคาจะสามารถขึ้นไปหลายเด้ง แต่ถ้าถึงเวลาจะขายทำกำไรแล้ว ไม่สามารถขายออกมาได้ทัน ก็ไม่มีความหมาย
และกลยุทธ์ที่คุณ Newell ใช้ในการลงทุนนั้น หลัก ๆ ก็มีอยู่ด้วยกัน 4 ข้อ ได้แก่
1.หาโอกาสจากความผันผวน
เทรดเดอร์อย่างคุณ Newell นั้น ไม่ได้สนใจตัวเลขกำไรที่สวยหรู หรืองบการเงินที่ดูดี แต่เขามักจะมองหาหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขาย และความผันผวนของราคาสูง
โดยปริมาณการซื้อขายของหุ้นที่สูงนั้น เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนในตลาดกำลังสนใจหุ้นตัวนั้นอยู่ หลังจากนั้นเขาก็จะรอให้ หุ้นตัวนั้นราคาตก และเข้าช้อนซื้อเพื่อรอให้ราคากลับตัว
ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว คุณ Newell จะถือหุ้นแต่ละตัว ตั้งแต่ 3 ชั่วโมง ไปจนถึง 3 วัน เพื่อจะได้ตัดขาดทุนให้ไว ในเวลาที่ทิศทางของราคาหุ้น ไม่เป็นไปอย่างที่คาด
2.พยายามมองหา “หุ้นรอง”
ถ้าหากมีหุ้นสักตัวหนึ่ง ที่ราคากำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาสั้น ๆ เขาจะไม่เข้าไปไล่ซื้อหุ้นตัวนั้นตามคนอื่น ๆ
แต่เขามักจะมองหาสิ่งที่เรียกว่า “หุ้นรอง” ซึ่งเป็นหุ้นที่ให้บริการ หรือผลิตสินค้าคล้าย ๆ กัน หรือไม่ก็ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกัน กับหุ้นตัวที่ราคากำลังขึ้น
โดยเขาจะเน้นไปที่หุ้นราคาถูกที่สุด เนื่องจากหุ้นที่ราคาถูกมาก ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับผลตอบแทน 2 ถึง 3 เท่า ได้มากกว่าหุ้นที่ราคาแพงแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากหุ้น Tesla กำลังราคาขึ้น เขาก็จะมองหาหุ้นของบริษัทอื่น เช่น Blink Charging ที่ทำสถานีชาร์จไฟฟ้า หรือ Fisker ที่ทำรถ SUV ไฟฟ้า ซึ่งหุ้นเหล่านี้ ต่างก็มีราคาไม่ถึง 10 ดอลลาร์สหรัฐ
3.กล้าเสี่ยงอย่างสบายใจ
แน่นอนว่าการจะสร้างผลตอบแทนมาก ๆ ให้ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ย่อมหนีไม่พ้นการใช้ตัวช่วย อย่างเช่น การกู้ยืมเงิน หรือ Leverage
แต่อย่างไรก็ตาม คุณ Newell นั้น จะให้ความสำคัญกับขนาดของการซื้อขายในแต่ละครั้ง ไม่ให้เป็นการลงเงินมากจนเกินไป และจะใช้การ Leverage ในระดับที่เขารู้สึกสบายใจเท่านั้น
นอกจากนี้ ในกำไรทุก ๆ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เขาจะดึงกำไรออกมาไว้ก่อน ประมาณ 3 ใน 4 ของกำไรที่ได้ เพื่อให้รู้สึกสบายใจว่า ตอนนี้กำลังนอนกอดกำไรอยู่
4.มีเงินเก็บระยะยาว
อีกสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณ Newell สามารถเสี่ยงได้อย่างสบายใจ ก็คือการแยกพอร์ตการลงทุนในระยะยาวไว้ เป็นเงินเก็บ และใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
โดยเขาจะเลือกลงทุนในหุ้นที่กำไรเติบโตตลอด, มีศักยภาพที่จะเติบโตได้ ในอีก 10 ปี หรือ 30 ปี ข้างหน้า และมีผู้บริหารที่จริงใจ
ซึ่งเงินที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนระยะยาวนี้ ก็คือกำไรที่เขาทำได้ จากการเทรดในแต่ละวัน
จากตรงนี้เองจะเห็นได้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน ก็คือการศึกษาหาความรู้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว เราอาจจะต้องจ่ายบทเรียนราคาแพงกว่าคนอื่น โดยไม่จำเป็น
นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้ จากคุณ Newell ก็คือ การไม่ยอมแพ้ แม้จะล้มเหลว และความมุ่งมั่น ในการศึกษาเรื่องการลงทุนอย่างจริงจัง
จนสามารถเปลี่ยนตัวเอง จากคนที่หลับหูหลับตา เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตามเพื่อน จนทำเงินเก็บของตัวเองหายไปครึ่งหนึ่ง
ให้กลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จได้ ในเวลาไม่นาน..
© 2024 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.