สรุปมรสุม DOHOME ดาวรุ่ง หุ้นวัสดุก่อสร้าง ที่มูลค่าหายไปเกือบ 70% ใน 6 เดือน

สรุปมรสุม DOHOME ดาวรุ่ง หุ้นวัสดุก่อสร้าง ที่มูลค่าหายไปเกือบ 70% ใน 6 เดือน

23 มิ.ย. 2025
ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน DOHOME เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ในฐานะหุ้นน้องใหม่ของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ด้วยโมเดลธุรกิจครอบคลุมทั้งค้าปลีกและค้าส่ง
ในช่วงนั้น DOHOME ยังมีสาขาเพียงไม่กี่แห่ง ทำให้นักลงทุนมองว่ายังมีศักยภาพในการขยายสาขาได้อีกมาก
และเชื่อว่า DOHOME อาจกลายเป็นดาวรุ่งตัวใหม่ที่จะเติบโตตามรอย HMPRO และ GLOBAL ที่เคยสร้างผลตอบแทนระดับ 10 เด้งมาแล้วในยุครุ่งเรือง
ราคาหุ้น DOHOME เคยไต่ขึ้นไปสูงสุดถึง 22 บาท 
แต่วันนี้ราคาเหลือเพียง 3.24 บาท และหากนับแค่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มูลค่าบริษัทก็หายไปแล้วกว่า 60%
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้หุ้นเติบโตตัวนี้ถูกเทขายจนมูลค่าหายไปมากขนาดนี้ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ 
บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เริ่มต้นจากร้านวัสดุก่อสร้างเล็ก ๆ ในจังหวัดอุบลราชธานี ก่อนจะค่อย ๆ ขยายสาขาไปยังจังหวัดใกล้เคียงในภาคอีสาน
จากนั้นจึงขยับขยายเข้าสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ด้วยกลยุทธ์ที่เรียกว่า “ป่าล้อมเมือง” โดยใช้โมเดลค้าปลีกและค้าส่งวัสดุก่อสร้างแบบครบวงจร ภายใต้คอนเซปต์ “ครบ ถูก ดี”
โดยโครงสร้างรายได้ของบริษัท ในช่วงที่ผ่านมานั้น จะแบ่งออกคร่าว ๆ ได้เป็น
- กลุ่มก่อสร้าง สัดส่วนเกือบ 50%
- กลุ่มซ่อมแซม สัดส่วนเกือบ 40%
- กลุ่มตกแต่ง สัดส่วนเกือบ 20%
DOHOME เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2562 ในตอนที่บริษัทมีสาขาขนาดใหญ่เพียง 10 สาขาทั่วประเทศ 
หากเปรียบเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่ในกลุ่มเดียวกันอย่าง HMPRO ที่มีสาขาเกิน 80 สาขา และ GLOBAL มีสาขามากกว่า 60 สาขาทั่วประเทศในตอนนั้น
เหล่านักลงทุนก็คาดหวังว่า หาก DOHOME สามารถขยายสาขาได้แบบเดียวกัน กำไรก็อาจเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามรอย HMPRO หรือ GLOBAL ได้
ทำให้หลังจากเข้าตลาดที่ราคา IPO 7.80 บาทต่อหุ้น ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ราคาหุ้นก็พุ่งทะยานขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 22 บาท 
และขึ้นไปซื้อขายที่ระดับ P/E สูงถึง 50 ถึง 60 เท่า สะท้อนความคาดหวังว่า DOHOME จะกลายเป็นหุ้นเติบโตตัวใหม่ของตลาด
แต่ถึงแม้ว่า DOHOME จะเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เส้นทางกลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่นักลงทุนคาดหวังไว้
เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทต้องเผชิญแรงปะทะจากสารพัดปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งจากภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ และความท้าทายจากภายในตัวธุรกิจเอง
เรามาลองไล่เรียงกันว่า มีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อ DOHOME ตลอดช่วงที่ผ่านมา ?
1. ราคาเหล็กผันผวน
หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ DOHOME คือการสต๊อกสินค้าไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถส่งมอบสินค้าได้อย่างรวดเร็ว และรักษาคอนเซปต์ “ครบ ถูก ดี” 
โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มโครงสร้างอย่างเหล็ก ที่มีความสำคัญในงานก่อสร้าง และคิดเป็นสัดส่วนรายได้ถึง 30% 
บริษัทจะสต๊อกเหล็กไว้เฉลี่ยราว 90 ถึง 100 วัน โดยใช้วิธีบันทึกต้นทุนแบบถัวเฉลี่ย เพื่อช่วยลดความผันผวนของต้นทุนบางส่วน
อย่างไรก็ตาม เหล็กเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาผันผวน การเคลื่อนไหวของราคาเหล็กจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท
เมื่อราคาเหล็กปรับตัวขึ้น บริษัทที่มีสต๊อกต้นทุนต่ำอยู่ก่อนแล้ว จะสามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นตามไปด้วย
แต่ในทางกลับกัน เมื่อราคาเหล็กปรับลดลงอย่างรวดเร็ว บริษัทที่ยังมีสต๊อกเหล็ก ซึ่งซื้อมาในราคาสูงอยู่ในมือ จะขายสินค้าในราคาที่มีกำไรน้อยลง
โดยในช่วงปี 2564 ที่ราคาเหล็กปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 18,500 บาท/ตัน มาเป็น 28,600 บาท/ตัน บริษัทที่ได้ประโยชน์จากสต๊อกต้นทุนต่ำ ก็มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นจาก 16.19% เป็น 20.19%
แต่หลังจากนั้น เมื่อเป็นช่วงที่ราคาเหล็กเริ่มปรับตัวลง บริษัทต้องเผชิญกับต้นทุนสต๊อกที่ราคาสูง ในขณะที่ราคาขายลดลงตามตลาด อัตรากำไรขั้นต้นจึงถูกกดดันจนลดลงมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งช่วงที่อัตรากำไรขั้นต้นของ DOHOME ปรับขึ้นสูงสุดในปี 2564 ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ราคา 22 บาทในช่วงปลายปีเดียวกันพอดี
2. เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคอีสาน
ในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ขณะที่ DOHOME กำลังเผชิญแรงกดดันจากราคาเหล็กที่ปรับตัวลงอย่างรุนแรง
บริษัทก็ต้องเจอกับอีกหนึ่งแรงกระแทกเข้ามาซ้ำเติมในรูปแบบของภัยธรรมชาติ
นั่นคือ เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคอีสาน โดยเฉพาะที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุด ที่มีสัดส่วนรายได้สูงถึง 20% ของรายได้รวม
แม้บริษัทจะพยายามจำหน่ายสินค้าผ่านการโทรสั่งและบริการจัดส่ง แต่การปิดสาขาชั่วคราวย่อมส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
บริษัทจึงขาดทุนสุทธิในไตรมาส 4/2565 จากการตั้งสำรองค่าเสียหายจากสินค้าหลังน้ำท่วมประมาณ 75 ล้านบาท 
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะทำประกันไว้ และได้รับค่าสินไหมทดแทนคืนแล้ว แต่น้ำท่วมครั้งนั้นก็ถือเป็นอีกแรงกระแทกสำคัญ ที่ซ้ำเติมสถานการณ์ต่อจากแรงกดดันจากราคาเหล็ก 
และนับจากวันนั้น ราคาหุ้นของ DOHOME ก็ยังไม่สามารถฟื้นกลับไปในระดับก่อนน้ำท่วมได้อีกเลย
3. ภาระหนี้ที่ค่อนข้างสูงจากการขยายสาขา
หากย้อนกลับไปดูช่วงหลายปีที่ผ่านมา DOHOME เดินหน้าขยายสาขาขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง 
จากเดิมในปี 2562 บริษัทมีสาขาขนาดใหญ่เพียง 10 สาขา ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งหมด 35 สาขา ครอบคลุม 22 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็น
- สาขาขนาดใหญ่ 24 สาขา 
- สาขาแบบ Dohome To Go 11 สาขา
การขยายสาขาอย่างรวดเร็วย่อมต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และนำไปสู่ภาระหนี้สินที่สูงขึ้นตามมา
ซึ่งสำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีกแล้ว สิ่งที่ต้องจับตามองคือ อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ IBD/E ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดความเสี่ยงทางการเงิน
โดยอัตราส่วนนี้ เปรียบเทียบหนี้สินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ที่ประกอบด้วย เงินเบิกเกินบัญชี, เงินกู้ยืมธนาคารทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงหุ้นกู้ เทียบกับส่วนเงินทุนของเจ้าของ
ปกติแล้ว ค่านี้ไม่ควรเกิน 1 เท่า และหากมีค่าน้อยยิ่งดี เพราะแสดงว่ามีความเสี่ยงทางการเงินต่ำ
หากเราลองดู อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ IBD/E ของ DOHOME ในช่วงที่ผ่านมา
ปี 2564 IBD/E เท่ากับ 1.10 เท่า
ปี 2565 IBD/E เท่ากับ 1.43 เท่า
ปี 2566 IBD/E เท่ากับ 1.42 เท่า
ปี 2567 IBD/E เท่ากับ 1.31 เท่า
ไตรมาส 1/2568 IBD/E เท่ากับ 1.21 เท่า
แม้ว่าอัตราส่วนนี้จะมีแนวโน้มค่อย ๆ ลดลง แต่ก็ยังคงอยู่เหนือระดับ 1 เท่า สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทยังมีภาระหนี้ที่ค่อนข้างสูงจากการลงทุนขยายสาขาในช่วงที่ผ่านมา 
บวกกับภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูงตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านต้นทุนทางการเงินให้กับบริษัทในภาพรวม
4. ใช้เวลานานกว่าจะได้เงินสดคืน
นอกจากภาระดอกเบี้ยแล้ว อีกหนึ่งแรงกดดันของบริษัท คือ วงจรเงินสด หรือ Cash Conversion Cycle ซึ่งก็คือระยะเวลาตั้งแต่ที่บริษัทจ่ายเงินซื้อสินค้ามาขาย จนกระทั่งได้เงินจากลูกค้า
หากดูข้อมูลไตรมาส 1/2568 จะพบว่า DOHOME มีวงจรเงินสดเฉลี่ยถึง 143 วัน หรือเกือบ 5 เดือน ซึ่งถือว่ายาวเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่อยู่ราว 100 ถึง 110 วัน ซึ่งเกิดจาก
1) ระยะเวลาขายสินค้าเฉลี่ย 181.46 วัน 
แสดงให้เห็นว่า สินค้าถูกเก็บในคลังสินค้าเฉลี่ยนานถึง 6 เดือน ก่อนจะถูกขายออกไป
2) ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย 17.79 วัน 
แสดงให้เห็นว่า หลังจากขายสินค้าแล้ว ยังต้องรอเก็บเงินจากลูกค้าอีกเกือบ 3 สัปดาห์
3) ระยะเวลาชำระหนี้เจ้าหนี้ 56.48 วัน 
แสดงให้เห็นว่า บริษัทได้รับเครดิตจากซัปพลายเออร์ ช่วยยืดการจ่ายเงินออกไปได้ประมาณ 2 เดือน
นั่นหมายความว่า DOHOME ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนในการสำรองสต๊อกและบริหารกระแสเงินสด ให้ได้นานถึง 143 วัน หรือเกือบ 5 เดือนเลยทีเดียว เพื่อรอเงินสดกลับเข้ามาในกิจการ หลังจากขายสินค้าออกไป 
อย่างไรก็ตาม จุดนี้เองก็สะท้อนแนวทางของ DOHOME ที่พยายามรักษาจุดแข็งของตัวเองไว้ ด้วยการสต๊อกสินค้าให้ “ครบ” 
เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาแล้วได้ของทันที ไม่ต้องรอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด “ครบ ถูก ดี” ที่ใช้สร้างแบรนด์มาโดยตลอด
แต่ด้วยแรงกดดันทั้งจากภาระหนี้ และต้นทุนทางการเงิน
บริษัทก็ได้เริ่มปรับแผนการขยายตัวใหม่ โดยหันมาเน้นเปิด Dohome To Go ซึ่งเป็นสาขาขนาดเล็ก ใช้เงินลงทุนน้อยกว่า และสามารถคืนทุนได้เร็วกว่า
และหากดูราคาหุ้นของ DOHOME ในปัจจุบันก็ลงมาซื้อขายที่ราคา 3.24 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วน P/E Ratio อยู่ที่ 16.24 เท่า 
ซึ่งถือว่าลดลงจากระดับสูงสุดในอดีตที่เคยซื้อขายกันที่ P/E ระดับ 50 ถึง 60 เท่า สะท้อนความคาดหวังของตลาดที่ปรับลดลงอย่างชัดเจน
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า DOHOME จะสามารถก้าวผ่านความท้าทายเหล่านี้ได้เมื่อไร 
และจะสามารถเดินตามรอยพี่ใหญ่ในอุตสาหกรรมอย่าง HMPRO และ GLOBAL ได้ตามที่นักลงทุนเคยคาดหวังไว้ได้หรือไม่..
หมายเหตุ : บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำ ให้ซื้อหรือขายหุ้นเหล่านี้ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน ก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
#ลงทุน
#หุ้นไทย
#DOHOME
References
-มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด วันที่ 13/06/2568
-มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด วันที่ 06/12/2564
-Oppday Q1/2025 DOHOME บมจ.ดูโฮม
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.