100 เด้ง ใน 1 เดือน ตำนานการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ของ Bill Ackman

100 เด้ง ใน 1 เดือน ตำนานการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ของ Bill Ackman

14 ต.ค. 2025
ตลอดประวัติศาสตร์การลงทุน มีเคสที่น่าสนใจ เกิดขึ้นมามากมาย ซึ่งนักลงทุนสามารถศึกษาและนำบทเรียนดังกล่าวมาปรับใช้กันได้
อย่างในปีที่เริ่มต้นของวิกฤติโรคระบาดครั้งหลังสุด ก็ได้เกิดเคสการลงทุนจากนักลงทุนชื่อดังคนหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นตำนานที่จะถูกเล่าขานไปตลอดกาล
เพราะเคสนี้ ทำผลตอบแทนได้ถึง 100 เด้ง โดยใช้เวลาไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ..
ซึ่งนักลงทุนผู้สร้างตำนานนี้ คือคุณ Bill Ackman เจ้าของฉายา “Baby Buffett”
หากสงสัยว่า คุณ Bill Ackman มีวิธีคิด และลงทุนอย่างไร จึงทำผลตอบแทนได้สูงขนาดนี้ โดยใช้เวลาลงทุนอันแสนสั้น
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
เหตุการณ์นี้ เริ่มขึ้นในช่วงต้นปี 2020 ตอนที่เรื่องโรคระบาดโควิดยังเป็นแค่ข่าวลือ
โดยเดือนมกราคม คุณ Bill Ackman ได้ติดตามข่าวสารที่เกิดขึ้นบนโลก และพบว่า มีโรคประหลาดที่เริ่มระบาดหนักในประเทศจีน จนมีคนติดเชื้อเป็นจำนวนมาก
เรื่องนี้สร้างความกังวลใจให้เขา เมื่อได้รู้ว่า มีคนจำนวนถึง 5 ล้านคน หนีออกมาจากอู่ฮั่น ก่อนที่เมืองจะถูกสั่งปิด
คนเหล่านี้ ได้เดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ โดยที่ไม่รู้ว่า ตัวเองอาจจะติดเชื้อ และกำลังเป็นพาหะในการแพร่เชื้อไปทั่วโลก
ตอนแรก คุณ Bill คิดว่าเขาคงกังวลมากเกินไป แต่เขาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังพยายามติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
จนกระทั่งช่วงปลายเดือนมกราคม องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ออกมาประกาศว่า
การระบาดของโคโรนาไวรัสอุบัติใหม่ เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระดับโลก และได้เรียกร้องให้ผู้คนหลีกเลี่ยงการเดินทาง
ถึงแม้จะมีประกาศออกมา ผู้คนส่วนใหญ่ รวมถึงบรรดาประเทศต่าง ๆ ก็ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และใช้ชีวิตปกติต่อไป
ในทางกลับกัน คุณ Bill มองต่างจากคนส่วนใหญ่ เพราะเขาเชื่อว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อย แต่กำลังจะลุกลาม เกิดเป็นวิกฤติระดับโลก จนถึงขั้นมีการปิดเมือง..
หากสถานการณ์รุนแรงถึงขั้นนั้นจริง ๆ จะต้องส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกถล่มลงมาอย่างแน่นอน
พอคิดได้แบบนี้ คุณ Bill จึงกลับมาสำรวจพอร์ตของตัวเอง และตั้งคำถามว่า เขาควรจะเตรียมการรับมืออย่างไรดี
จะขายหุ้นออกไปก่อน เพื่อเก็บเงินสดไว้เลยไหม ?
หรือจะทำการขายชอร์ตหุ้นไว้ก่อนดี ?
จนสุดท้ายในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เขาก็ได้เลือกใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Credit Default Swaps หรือเรียกย่อ ๆ ว่า CDS ในการทำประกันให้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเอง
CDS มีชื่อไทยยาวเหยียดว่า “ตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันการผิดนัดชำระหนี้”
โดยกลไกการทำงานก็คือ สมมติว่าเราเป็นคนที่ถือหุ้นกู้หรือเป็นเจ้าหนี้ ของบริษัท ABC
ถ้าหากเรากลัวว่าบริษัท ABC จะไม่สามารถชำระเงินกู้คืนได้ เราก็สามารถจ่ายเงินซื้อ CDS กับธนาคารหรือบริษัทผู้ออก CDS ไว้ได้ คล้ายกับการซื้อประกันภัย
เพราะเมื่อถึงวันที่บริษัท ABC ชำระคืนหนี้ไม่ได้จริง ๆ บริษัทผู้ขาย CDS ก็จะช่วยชำระหนี้บางส่วนให้ และส่วนที่เหลือลูกหนี้จะต้องเป็นคนจ่ายเอง
แล้วทำไม CDS ถึงสามารถนำมาใช้ เพื่อปกป้องพอร์ตการลงทุนได้ ?
สมมติว่า เรามีพอร์ตหุ้นมูลค่า 1,000,000 บาท และเรากังวลว่า ถ้าอนาคตมีวิกฤติเศรษฐกิจ จะทำให้พอร์ตของเราเสียหายหนัก ติดลบได้ถึง 30%
เราจึงได้แบ่งเงินออกมาส่วนเล็ก ๆ จ่ายเป็นค่าเบี้ยประกัน เพื่อซื้อ CDS เอาไว้ เตรียมปกป้องพอร์ต
วิธีการนี้ เราจะใช้เมื่อเราเชื่อว่า ตอนที่เกิดปัญหาเศรษฐกิจ จะมีบริษัทจำนวนมากไม่สามารถชำระหนี้ได้
ทำให้บริษัทที่ขาย CDS ให้กับเรา จะต้องออกมารับผิดชอบด้วยการชำระหนี้ตามวงเงินที่คุ้มครอง
ตัวอย่างเช่น
- CDS มี Recovery Ratio ที่ 40%
- มูลค่าสัญญา 300,000 บาท
- ในภาวะเศรษฐกิจปกติ อาจจะมีค่าเบี้ยประกันที่ 0.5% ของมูลค่าสัญญา
โดยเราจะจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันแค่ 300,000 x 0.5% = 1,500 บาท เพื่อแลกกับวงเงินคุ้มครองจากผู้ขาย CDS เป็นเงิน 180,000 บาท
ตัวเลขวงเงินคุ้มครองจำนวน 180,000 บาทข้างต้น เราสามารถคำนวณได้จากสูตรนี้
มูลค่าสัญญา 300,000 บาท x (1 - Recovery Ratio 40%) = 180,000 บาท
หมายความว่า CDS จะสามารถปกป้องพอร์ตของเรา ในช่วงขาลง ได้ถึง 18%
หากเราไม่ใช้ CDS เมื่อเกิดวิกฤติ พอร์ตจะติดลบ 30% แต่เมื่อมี CDS จะบรรเทาการขาดทุนลง เหลือแค่ 12%
สำหรับคุณ Bill เขาได้ซื้อ CDS ไป 3 ชนิด ในตอนที่คนส่วนใหญ่ ยังมองไม่เห็นปัญหาที่กำลังจะลุกลาม ทำให้ค่าเบี้ยประกันที่เขาจ่ายไป ราคาถูกมาก
CDS เหล่านี้ ประกอบด้วย
- หนี้สหรัฐฯ ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือว่าลงทุนได้ หรือ Investment Grade มูลค่าสัญญา 1,357,000 ล้านบาท
- หนี้สาธารณะของยุโรป มูลค่าสัญญา 646,000 ล้านบาท
- ตราสารหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ มูลค่าสัญญา 97,000 ล้านบาท
เพื่อแลกกับวงเงินคุ้มครองจำนวนมหาศาลนี้ คุณ Bill จ่ายเงินค่าเบี้ยประกัน ไปแค่ 840 ล้านบาท หรือประมาณ 0.04% ของมูลค่าสัญญาเท่านั้น
หลังจากเขาซื้อสัญญา CDS ไปได้ไม่ถึงเดือน ก็มีข่าวการระบาดของไวรัสไปทั่วโลก จนตลาดหุ้นตกหนักถึง 30%
แถมคนส่วนใหญ่ในตลาดการเงิน เริ่มตกใจกลัวกันว่า กำลังจะมีการผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่
ก็เลยส่งผลให้บรรดานักลงทุนรายใหญ่ แห่กันเข้ามาซื้อ CDS จนค่าเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า
พอค่าเบี้ยประกันสูงขึ้น คนที่จ่ายเงินซื้อ CDS ไปก่อนหน้านี้ ด้วยเบี้ยประกันราคาถูกอย่างคุณ Bill ก็มีทางเลือกระหว่างจะขายต่อเพื่อทำกำไร หรือจะเก็บไว้ รอรับเงินประกัน เมื่อมีการผิดนัดชำระหนี้
แต่คุณ Bill ผู้เห็นโอกาสในการนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนเพิ่ม จึงได้ตัดสินใจลงทุนแบบสวนกระแสอีกครั้ง ด้วยการเทขายสัญญา CDS ทั้งหมด เพื่อเปลี่ยนกำไร ให้กลายมาเป็นเงินสดจริง ๆ
นั่นจึงทำให้ในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน จากเงินลงทุนเริ่มต้น 840 ล้านบาท
ได้เติบโตเป็น 84,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนถึง 100 เด้ง..
แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่ตลาดหุ้นกำลังอยู่ในสภาพนองเลือด ก็มีหุ้นคุณภาพดี ราคาถูกอยู่เต็มไปหมด
คุณ Bill ได้นำเงินก้อนนี้ ไปช้อนซื้อหุ้นดี ๆ เอาไว้ด้วย อย่างเช่น โรงแรม Hilton, ร้านกาแฟ Starbucks และ Berkshire Hathaway ของคุณ Warren Buffett
จนกระทั่ง ในภายหลัง ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา หรือ Fed ได้ประกาศมาตรการทำ Quantitative Easing ครั้งใหญ่ เพื่ออัดฉีดเงินเข้าไปในระบบให้เศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อไป
ราคาหุ้นก็ได้ฟื้นตัวกลับมา ส่งผลให้ดัชนีหุ้นอย่าง S&P500 และมูลค่าพอร์ตของคุณ Bill สามารถเติบโต ทำจุดสูงสุดใหม่ได้
การตัดสินใจของคุณ Bill Ackman ในครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นตำนานการลงทุน ที่สร้างผลตอบแทนจำนวนมหาศาล ภายในระยะเวลาที่สั้นมาก
จนถึงขนาดที่ นิตยสาร Barron’s ขนานนามว่าเป็น “The Greatest Trade of All Time”
หรือแปลเป็นไทยว่า “การซื้อขายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล” นั่นเอง
แต่ถึงแม้ว่าตราสาร CDS ในประเทศไทยจะเข้าถึงได้ยาก และเหมาะจะใช้กับการลงทุนในหุ้นกู้
แต่ในประเทศไทยนั้น ก็มีเครื่องมือทางการเงิน ที่มีกลไกการทำงานคล้ายกันกับ CDS แต่เหมาะกับนักลงทุนหุ้นมากกว่า อย่าง SET50 Index Options ในตลาด TFEX
โดยเราสามารถเลือกซื้อได้ทั้ง Call Options ถ้าหากเรามองว่าดัชนี SET50 จะปรับตัวขึ้น และอยากจะล็อกสิทธิในการซื้อดัชนี SET50 ในราคาที่ถูกกว่าตลาด
และ Put Options ถ้าหากเรามองว่าดัชนี SET50 จะปรับตัวลง และอยากได้สิทธิในการขายดัชนี SET50 ในวันที่ตลาดปรับตัวลงไปมาก
ทั้งนี้ทั้งนั้น การลงทุนใน Options ผู้ซื้อจะต้องจ่ายค่า Options หรือที่เรียกว่าค่า Premium (คล้ายเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายเพื่อแลกซื้อความคุ้มครอง) ถ้าตลาดมีทิศทางเป็นไปตามที่คาด เราจะได้กำไรจาก Options ที่ซื้อเอาไว้ แต่ถ้าหากตลาดไปผิดทางจากที่เราคาดไว้ เราก็จะเสียค่า Premium ที่จ่ายลงทุนใน Options ไปทั้งหมด
เพราะฉะนั้นการศึกษาหลักการทำงานของ Options ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนซื้อ จึงเป็นเรื่องที่ควรทำ
ถ้าเราศึกษาและทดลองลงทุนไปเรื่อย ๆ จนเชี่ยวชาญแล้ว หากมีวิกฤติเข้ามากระทบตลาดหุ้นอีกครั้ง
ก็ไม่แน่ว่าเราอาจจะสามารถทำ “ดีลการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ในฉบับของตัวเองได้เหมือนกัน
หรือแม้จะไม่เกิดวิกฤติ แต่ภายใต้สภาวะตลาดที่ปรับตัวผันผวนและอ่อนไหวมากขึ้นอย่างในปัจจุบัน การใช้ Options อย่างเหมาะสม ก็อาจช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนหรือประกันความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุนของเราได้ด้วยเช่นกัน..
References
-หนังสือ Chaos Kings: How Wall Street Traders Make Billions in the New Age of Crisis (2023) โดย Scott Patterson
-รายงานประจำปี 2024 Pershing Square Holdings
-https://www.barrons.com/articles/the-greatest-trade-of-all-timeand-what-bill-ackman-is-investing-in-now-51600457809
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.