
แจกโคดส่วนลดให้ประชาชน นโยบายคนละครึ่ง ฉบับประเทศจีน ที่กระตุ้นให้คนใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3 เท่า
15 ก.ย. 2025
การคืนชีพของนโยบายคนละครึ่ง กำลังเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงนี้
ว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เคยช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงวิกฤติโรคระบาด จะยังคงสามารถใช้ได้ผลกับเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันหรือไม่
แต่รู้หรือไม่ว่าในช่วงเวลานั้น ประเทศจีนก็มีการใช้นโยบายที่คล้าย ๆ กันกับนโยบายคนละครึ่งเหมือนกัน
โดยในตอนนั้นรัฐบาลจีนไม่ได้แจกเงินให้กับประชาชนตรง ๆ แต่กลับใช้วิธีการแจก e-Voucher ที่เหมือน “โคดส่วนลด” ให้กับประชาชนได้นำไปใช้
และที่น่าสนใจก็คือ นโยบายนี้สามารถกระตุ้นให้ชาวจีนในตอนนั้นใช้จ่ายเงินมากขึ้นถึง 3 เท่าอีกด้วย แม้จะยังอยู่ท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดก็ตาม
แล้วนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จของจีน ณ ตอนนั้น มีอะไรที่เหมือนและแตกต่างกับคนละครึ่งของไทยบ้าง ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกโคดส่วนลดของจีนนั้น มีจุดที่แตกต่างกับโครงการคนละครึ่งของไทยอยู่หลัก ๆ ประมาณ 3 จุด ได้แก่
- ผู้ดำเนินการคือรัฐบาลท้องถิ่น
ประเทศที่พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างจีน การจะใช้รัฐบาลกลางที่เดียวดูแลให้ทั่วถึงก็คงเป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นรัฐบาลท้องถิ่นในมณฑลและเมืองต่าง ๆ จึงได้รับอำนาจในการบริหารจัดการมากพอสมควร
ซึ่งนั่นก็รวมถึงอำนาจในการจัดตั้งงบประมาณและรูปแบบการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกโคดส่วนลดนี้ด้วย
ทำให้กว่า 190 เมืองทั่วประเทศจีน ที่เข้าร่วมโครงการนี้ ก็จะมีรูปแบบของการแจกโคดส่วนลดและงบประมาณที่ใช้แตกต่างกันไป
เช่น เมืองเซินเจิ้น ก็มีการให้ส่วนลด 15% สำหรับการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและของใช้ภายในบ้าน จากร้านที่กำหนด
หรือเมืองเฉิงตู ก็มีการแจกคูปองรวมเป็นมูลค่าประมาณ 10 ล้านหยวน (ประมาณ 44 ล้านบาท) สำหรับการท่องเที่ยว เป็นต้น
ในขณะที่นโยบายคนละครึ่งของประเทศไทย มีผู้ดำเนินการคือกระทรวงการคลัง และมีรูปแบบเป็นมาตรฐานเดียวกันคือ ใช้ซื้อสินค้าผ่านร้านที่เข้าร่วมโครงการ เหมือนกันทั้งประเทศ
- มีการกำหนดขั้นต่ำและสร้างความเร่งด่วนในการใช้จ่าย
ตอนที่เราใช้โครงการคนละครึ่งนั้น อย่างที่เราจำได้ว่ารัฐจะช่วยวันละไม่เกิน 150 บาท
โดยเราสามารถใช้ได้จนกว่าจะหมดวงเงินที่ให้ใน G-Wallet ของเป๋าตัง หรือจนหมดระยะเวลาของโครงการ ไม่ได้มีการบังคับให้รีบใช้
อีกทั้งไม่ได้มีกำหนดขั้นต่ำในการใช้จ่าย แม้เราจะใช้ซื้อของราคาหลักสิบบาท รัฐก็จะช่วยออกครึ่งหนึ่งอยู่ดี
แต่สำหรับโคดส่วนลดที่ทางการของประเทศจีนแจกนั้น จะมีระยะเวลาหมดอายุกำหนดชัดเจน โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นภายใน 7 วัน นับตั้งแต่ได้รับคูปอง
นอกจากนี้ แม้จะแจกโคดส่วนลดที่ให้ส่วนลดประมาณ 25% ถึง 50% แต่ส่วนลดเหล่านั้นจะได้ก็ต่อเมื่อใช้จ่ายถึงขั้นต่ำที่กำหนด เช่น ใช้จ่ายขั้นต่ำ 54 หยวน เพื่อให้ได้ส่วนลด 18 หยวน (ส่วนลด 33%) เป็นต้น
ไม่ต่างกับการใช้โคดส่วนลดเวลาที่เราสั่งของในแพลตฟอร์ม e-Commerce หรือ Food Delivery ในชีวิตประจำวันเลย
- ช่องทางในการแจกจ่ายส่วนลด
ในขณะที่นโยบายคนละครึ่งของไทยใช้แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ในตอนนั้นโดยรัฐบาล ซึ่งใครลงทะเบียนสิทธิ์ก็จะได้เหมือนกันหมด
ทางการจีนใช้ช่องทางเอกชนที่มีอยู่แล้ว อย่างเช่น Alipay ของ Alibaba, WeChat Pay ของ Tencent รวมทั้งแพลตฟอร์ม e-Commerce และแพลตฟอร์ม Food Delivery อย่าง Meituan
ในการกระจายโคดส่วนลดเหล่านี้ไปให้ถึงประชาชน โดยการแจกจ่ายนั้นส่วนใหญ่จะเป็นในรูป “มาก่อนได้ก่อน” ให้ผู้คนต้องแย่งกันกด และมีบางครั้งที่แจกแบบสุ่มเหมือนลอตเตอรี่ด้วย
เมื่อการแจกโคดส่วนลดของทางการจีน มีทั้งการกำหนดขั้นต่ำในการใช้จ่าย และกรอบเวลาจำกัดที่ค่อนข้างสั้น
ทำให้เกิดสิ่งที่ทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมเรียกว่า “ภาวะกลัวการสูญเสีย” หรือ Loss Aversion จากการที่ผู้คนต้องรีบควักเงินจ่ายซื้อของเพิ่ม เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียส่วนลดที่จะได้ไป
ซึ่งจากงานวิจัยของ สำนักวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ NBER ที่วัดผลประสิทธิภาพของโครงการนี้ออกมา
ก็ได้พบว่าทุก ๆ 1 หยวน ที่ทางการจีนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกโคดส่วนลดไป จะทำให้ประชาชนใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 3 หยวน
หรือก็คือการแจกโคดส่วนลดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ ทำให้ชาวจีนใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้ถึง 3 เท่า
ในขณะที่เมื่อเทียบกับงานวิจัยในไทยที่ได้มีการวัดประสิทธิภาพของนโยบายคนละครึ่ง พบว่าทุก ๆ 1 บาท ที่กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการคนละครึ่ง คนไทยใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียง 40 สตางค์เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ในด้านประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจต่องบประมาณที่ใช้ไปของคนละครึ่งจะไม่ได้มากเหมือนกับโครงการแจกโคดส่วนลดของประเทศจีน
แต่สิ่งที่นโยบายคนละครึ่งทำได้ดีกว่า คือการเพิ่มยอดขายให้กับ SMEs และประชาชนที่กำลังเดือดร้อนจากวิกฤติโรคระบาดได้อย่างทั่วถึงกว่า
เพราะการแจกโคดส่วนลดของทางการจีนที่มีการกำหนดยอดใช้จ่ายขั้นต่ำนั้น เอื้อให้ร้านค้าขนาดใหญ่ที่ขายสินค้าราคาแพงได้ประโยชน์มากกว่า เพราะผู้คนซื้อสินค้าแล้วได้ส่วนลดง่ายกว่า
อีกทั้งคนที่ไม่มีรายได้มากพอที่จะใช้จ่ายเพิ่มให้ถึงขั้นต่ำที่ตั้งไว้ ก็จะอดได้สิทธิ์การช่วยเหลือจากรัฐบาลไป
นอกจากนี้ บริบทของประเทศไทยและจีนก็ค่อนข้างแตกต่างกัน โดยเฉพาะในเรื่องการเงินเก็บ
เพราะประเทศจีนนั้น ตั้งแต่ในช่วงก่อนโรคระบาดจนถึงปัจจุบัน มีอัตราส่วนเงินออมต่อ GDP ที่มากกว่า 40% มาโดยตลอด ซึ่งถือว่าสูงติดอันดับ Top 10 ของโลก
ซึ่งอาจจะหมายความได้ว่าชาวจีนโดยเฉลี่ยนั้น มีเงินเก็บมากมายอยู่แล้ว เพียงแค่มีนโยบายรัฐที่สะกิดให้ออกมาใช้จ่าย ชาวจีนก็จะนำเงินออกมาใช้กันทันที
ในขณะที่ประเทศไทย มีอัตราส่วนเงินออมต่อ GDP ลดลงมาเรื่อย ๆ โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา อัตราส่วนเงินออมต่อ GDP อยู่ที่ 25% เท่านั้น ทั้งที่เมื่อ 5 ปีก่อน สัดส่วนอยู่ที่ 29%
ซึ่งอาจจะหมายความได้ว่า คนไทยไม่ได้มีเงินเก็บแล้วไม่กล้าออกมาใช้ แต่อาจจะเก็บเงินไม่ได้ หรือถึงขั้นจำใจต้องเอาเงินเก็บออกมาใช้จ่ายแล้ว
สุดท้ายนี้จะเห็นได้ว่า แม้แต่นโยบายที่ดูประสบความสำเร็จก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียอะไรเลย
เหมือนกับนโยบายแจกโคดส่วนลดของจีน ที่แม้จะได้ผลตอบแทนจากการกระตุ้นสูงมาก แต่ก็สร้างความเหลื่อมล้ำให้กับธุรกิจขนาดเล็กและคนรายได้น้อย
ในขณะที่นโยบายคนละครึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน แม้ประสิทธิภาพจะต่ำกว่า แต่กลับเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง
เพราะฉะนั้น โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลไทยในตอนนี้ จึงค่อนข้างท้าทาย ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร ให้เกิดความสมดุลระหว่างความทั่วถึงและความคุ้มค่ากับต้นทุนที่ใช้ไป
และจะทำอย่างไรให้คนไทยใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ในวันที่ผู้คนกำลังคิดจะรัดเข็มขัดในการใช้เงินกันอย่างเต็มที่..
#เศรษฐกิจ
#เศรษฐกิจไทย
#คนละครึ่ง
References
-Liu et al. (2020). Stimulating Consumption at Low Budget: Evidence from a Large-scale Policy Experiment amid the COVID-19 Pandemic
-Xing et al. (2022). "QUICK RESPONSE" ECONOMIC STIMULUS: THE EFFECT OF SMALL-VALUE DIGITAL COUPONS ON SPENDING
-Muthitacharoen, A. (2024). Digital fiscal stimulus and SMEs: difference-in-differences evidence from Thailand’s half-and-half program
-Muthitacharoen, A. (2024). Using a no-minimum 50:50 co-pay to stimulate consumption: evidence from Thailand’s digital fiscal stimulus.