ดัชนีตลาดหุ้นไทย 30 ปี ไม่ไปไหน แต่คนรวยสุดในตลาดหุ้นไทยรวยขึ้น 10 เท่า

ดัชนีตลาดหุ้นไทย 30 ปี ไม่ไปไหน แต่คนรวยสุดในตลาดหุ้นไทยรวยขึ้น 10 เท่า

23 ก.ค. 2025
ถ้าใครมีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป น่าจะเคยผ่านยุคโชติช่วงชัชวาลที่สุดของเศรษฐกิจไทยกันมาแล้ว บรรยากาศในตอนนั้นเต็มไปด้วยความฝัน และความหวังว่า ไทยกำลังจะกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย
แต่แล้วความฝันที่ว่ากลับไม่เคยเกิดขึ้นจริง..
ที่น่าเศร้าไปยิ่งกว่านั้นคือ จากสังคมที่เต็มไปด้วยความหวัง ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าแม้แต่ฝันว่า ไทยจะกลายเป็นเสือของเอเชียได้อีก
เดือนธันวาคม ปี 2537 SET Index ปิดที่ 1,360 จุด
เดือนธันวาคม ปี 2567 SET Index ปิดที่ 1,400 จุด
30 ปีผ่านไป ตลาดหุ้นไทยแทบไม่ขยับไปไหนเลย
อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนคงรู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย ถ้าแบบนั้น เราลองมาอ่านเรื่องดี ๆ กันบ้างดีกว่า
ปี 2537 เป็นปีแรกที่วารสารการเงินธนาคาร จัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทย ปีนั้นเราได้คุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เป็นแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย ด้วยมูลค่าหุ้นที่ถือครองมากกว่า 21,680 ล้านบาท
ปี 2567 บัลลังก์แชมป์เศรษฐีหุ้นไทยถูกเปลี่ยนเป็นของคุณสารัชถ์ รัตนาวะดี เจ้าของกัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ ด้วยมูลค่าหุ้นที่ถือครองมากกว่า 240,000 ล้านบาท
ถึงแม้แชมป์เศรษฐีหุ้นไทยจะเปลี่ยนหน้าไปเป็นคนละคนจากเมื่อ 30 ปีที่แล้ว แต่จะเห็นได้ว่ามูลค่าหุ้นที่ถือครองโดยคนที่รวยที่สุดเพิ่มมากขึ้นถึง 10 เท่า
หลายคนน่าจะสงสัยแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ทำไมถึงเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ ?
MONEY LAB ขอต้อนรับเพื่อน ๆ เข้าสู่ ซีรีส์บทความ “Money Wheels” ท่องไปในกงล้อประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ผ่านตลาดหุ้น
- ปี 2537 ถึงปี 2539 ยุคสมัยแห่งความหวังของไทย ยุคทองของธุรกิจอสังหาฯ และโทรคมนาคม
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า แชมป์เศรษฐีหุ้นไทยในปี 2537 คือ คุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่อย่างบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ด้วยมูลค่าหุ้นที่ถือครองอยู่ที่ 21,680 ล้านบาท
ส่วนอันดับ 2 ในปีเดียวกัน ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณทักษิณ ชินวัตร เจ้าของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 
เจ้าของเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ AIS และดาวเทียมไทยคม ที่ปัจจุบันกลายสภาพเป็น INTUCH ด้วยมูลค่าหุ้นที่ถือครองอยู่ที่ 19,485 ล้านบาท
คนในยุคนั้น คงไม่มีทางนึกภาพออกเลยว่า มหาเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 2 คนนี้ จะกลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ และการเมืองไทย ในช่วงเวลา 30 ปีต่อจากนี้ อย่างที่ไม่เคยมีนักธุรกิจไทยคนไหนเคยเป็นมาก่อน
ความร่ำรวยของ 2 นักธุรกิจ ที่มาจากอสังหาฯ และโทรคมนาคม ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะบริบททางสังคม และเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
ซึ่งนักธุรกิจทั้ง 2 คนนี้สามารถเกาะคลื่นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในไทยได้พอดิบพอดี
คลื่นความเปลี่ยนแปลงแรก คือ การขยายตัวของชนชั้นกลางในไทย และการขยายตัวของการอยู่อาศัยแบบสังคมเมือง
เศรษฐกิจไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรม ไปสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว ตั้งแต่การค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย เมื่อปี 2524 อันเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในไทย
รวมถึงการย้ายฐานการผลิตของญี่ปุ่นมาไทย หลังการทำสัญญา Plaza Accord ในปี 2528 นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ก็ผุดขึ้นทั่วประเทศ ตั้งแต่ชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ และอยุธยา
ทำให้เกิดคลื่นแรงงานอพยพจากภาคการเกษตรในต่างจังหวัด ไหลเข้าสู่เมืองใหญ่ที่เป็นแหล่งจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม
เมื่อคนไทยมีค่าแรงที่สูงขึ้น และต้องเข้ามากระจุกตัวตามแหล่งงานในเมืองใหญ่ ความต้องการที่อยู่อาศัยแบบหมู่บ้านจัดสรรจึงเพิ่มมากขึ้น
และคนที่ได้รับประโยชน์จากคลื่นความเปลี่ยนแปลงนี้ไปเต็ม ๆ ก็คือ คุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของบริษัทผู้พัฒนาหมู่บ้านจัดสรรรายใหญ่ในยุคนั้นอย่าง แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ นั่นเอง
คลื่นความเปลี่ยนแปลงลูกที่ 2 คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสาร อย่างโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นโทรศัพท์แบบพกพาขนาดเล็ก
ใครที่อายุน้อยกว่า 30 ปีคงไม่เคยมีประสบการณ์ยืนรอพี่น้องใช้โทรศัพท์บ้านคุยกับแฟนกัน รู้ไหมว่าหลายบ้านถึงกับทะเลาะกันเพราะสมาชิกในบ้านใช้โทรศัพท์กันนานก็มี
แต่การเข้ามาของโทรศัพท์มือถือขนาดพกพา ทำให้ทุกคนเริ่มมีโทรศัพท์เป็นของตัวเอง บางคนถึงขั้นมีโทรศัพท์ 2 เครื่อง เพื่อใช้ส่วนตัว 1 เครื่อง และติดต่อธุรกิจอีก 1 เครื่อง
เมื่อโทรศัพท์มือถือเริ่มเป็นที่นิยม ธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์นี้ก็คงหนีไม่พ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ AIS
ไม่เพียงแต่คุณทักษิณ ที่ได้รับอานิสงส์จากคลื่นความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวหน้าขึ้นเท่านั้น
แต่คุณอดิศัย โพธารามิก ผู้ก่อตั้งบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ให้คำปรึกษา และรับจ้างวางระบบโทรคมนาคม ก็กลายเป็นแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยในปีต่อมา ด้วยมูลค่าหุ้นที่ถือครองสูงถึง 38,979 ล้านบาท
ส่วนปี 2539 แชมป์เศรษฐีหุ้นไทย กลับมาเป็นของตระกูลชินวัตร คือคุณพจมาน ชินวัตร (นามสกุลในยุคนั้น) ภรรยาของคุณทักษิณ ที่รับโอนหุ้นมาจากสามี ด้วยมูลค่าหุ้นที่ถือครองอยู่ที่ 18,945 ล้านบาท
- ปี 2540 วิกฤติต้มยำกุ้ง ตามมาด้วยฟองสบู่อสังหาฯ ของไทยที่แตกออก  
ด้วยภาวะความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ ผู้คนจึงมองหาสิ่งบันเทิง เพื่อหลีกหนีโลกความเป็นจริงที่โหดร้าย
แชมป์เศรษฐีหุ้นไทยในปีนี้ เลยตกเป็นของอากู๋ ไพบูลย์ หรือคุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม จากการนำค่ายเพลงแกรมมี่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น โดยมีมูลค่าหุ้นที่ถือครองอยู่ที่ 8,239 ล้านบาท
ขณะที่มูลค่าหุ้นของอดีตแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยหลายราย หายวับไปกับฟองสบู่ที่แตกไป
- ปี 2541 ถึงปี 2555 เจ้าพ่อธุรกิจอสังหาฯ และโทรคมนาคม กลับมาทวงบัลลังก์อีกครั้ง
ถึงแม้เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติต้มยำกุ้งอย่างหนัก จนแทบไม่เหลือความหวังว่าจะกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชียได้อีกต่อไป
แต่การขยายตัวของสังคมเมือง โทรศัพท์มือถือ และอินเทอร์เน็ตที่เริ่มเป็นที่นิยมในสังคมไทยก็ยังดำเนินต่อไป
ทำให้ในช่วงเวลานี้ นักธุรกิจอสังหาฯ อย่างคุณอนันต์ อัศวโภคิน และคุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ เจ้าของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัทอสังหาฯ รายใหญ่อีกแห่งของไทย ต่างสลับกันขึ้นมาเป็นแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยกันอย่างสูสี
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือตระกูลชินวัตร ที่นำโดยคุณทักษิณ ชินวัตร หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จในวงการธุรกิจ
เขาก็เริ่มเบนความสนใจมาที่การเมือง จนประสบความสำเร็จเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัย ตั้งแต่ปี 2544 ถึงปี 2549
หุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น ที่ถือครองโดยคุณทักษิณ ถูกโอนไปให้สมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวของเขา
ทำให้ในช่วงเวลานี้สมาชิกตระกูลชินวัตร จึงเป็นอีกกลุ่มที่สลับกันขึ้นมาเป็นแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย แข่งกับนักธุรกิจอสังหาฯ 
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่สั่นสะเทือนวงการธุรกิจและตลาดทุน หรืออาจจะสั่นสะเทือนไปถึงวงการการเมืองไปด้วยก็มาถึง
เมื่อตระกูลชินวัตร ตัดสินใจขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น ให้กับกลุ่มเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์ ในปี 2549 ด้วยมูลค่าสูงถึง 73,271 ล้านบาท นับว่าเป็นดีลการซื้อขายกิจการที่แพงที่สุดในตลาดหุ้นไทยในตอนนั้น
และในปีเดียวกันนั้นเอง รัฐบาลของคุณทักษิณ ชินวัตร โดนรัฐประหาร และต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศนานกว่า 17 ปี
พอตระกูลชินวัตรขายหุ้นธุรกิจโทรคมนาคมไปหมดแล้ว บัลลังก์เศรษฐีหุ้นไทย จึงกลายเป็นเวทีระหว่างคุณอนันต์ อัศวโภคิน และคุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ 2 นักธุรกิจอสังหาฯ ได้ผลัดกันขึ้นมาเป็นแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย
- ปี 2556 ถึงปี 2561 ยุคทองของธุรกิจการแพทย์ไทย
บัลลังก์เศรษฐีหุ้นไทยตกเป็นของนักธุรกิจอสังหาฯ ได้ไม่นาน ก็มาถึงยุคของคุณหมอนักธุรกิจเจ้าของเครือข่ายโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในไทย อย่างนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เจ้าของเครือโรงพยาบาล BDMS
โดยความสำเร็จของหมอปราเสริฐค่อนข้างต่างออกไปจากนักธุรกิจรายอื่น ๆ เพราะเกิดจากการใช้เครื่องมือทางการเงิน และตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ในการขยายอาณาจักรธุรกิจ ซึ่งเพิ่มมูลค่าให้ผู้ถือหุ้นในคราวเดียวกัน
เห็นได้จากหนึ่งในดีลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของหมอปราเสริฐ อย่างการควบรวมกิจการระหว่างกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทของคุณวิชัย ทองแตง และกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพของหมอปราเสริฐในปี 2554 
สิ่งที่ทำให้ดีลนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ หมอปราเสริฐไม่ได้กู้เงิน หรือใช้เงินสดที่มีอยู่มาควบรวมกิจการ แต่ใช้วิธีการออกหุ้นใหม่ให้กับคุณวิชัย ทองแตง
คุณวิชัย เลยกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ
และอานิสงส์ของดีลนี้ก็สร้างประโยชน์ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายไล่ตั้งแต่..
คุณวิชัย จากเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 297 หลังดีลนี้ก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น จนกลายมาเป็นเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 4 ในปี 2554 
ส่วนเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ หรือ BDMS ในปัจจุบัน ก็มีโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเป็น 27 แห่ง จากเดิม 19 แห่ง และจำนวนเตียงไว้รองรับคนไข้ ก็เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าทันที หลังการควบรวมเสร็จสิ้น
แถมอัตรากำไรที่ในปี 2553 อยู่ที่ 9.6% พอมาปี 2555 ก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 17.3% ด้วยประสิทธิภาพจากการบริหารโรงพยาบาลแบบเครือข่าย
ซึ่งเครือ BDMS ใหญ่มาก จนครั้งหนึ่งเคยเป็นเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีมูลค่าบริษัทมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกเลยทีเดียว
และผู้ที่ได้รับประโยชน์จากดีลนี้มากที่สุดก็คือ หมอปราเสริฐ ที่ครองแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2556 ถึงปี 2561 โดยในปี 2561 มีมูลค่าหุ้นที่ถือครองคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 77,129 ล้านบาท
- ปี 2562 ถึงปี 2567 GULF อาณาจักรที่เพิ่งสร้าง
ใครจะไปคิดว่าหมอปราเสริฐ จะถูกโค่นบัลลังก์แชมป์เศรษฐีหุ้นไทย โดยนักธุรกิจที่แทบไม่เคยมีใครรู้จักชื่อของเขามาก่อน
เขาคือ คุณสารัชถ์ รัตนาวะดี ผู้ก่อตั้งบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ ผู้นำธุรกิจพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานรายใหญ่ของไทย
จากการที่คุณสารัชถ์ นำ GULF เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเมื่อปลายปี 2560 ในตอนนั้น GULF ยังทำแค่ธุรกิจโรงไฟฟ้าอยู่ 
ที่น่าสนใจก็คือ ย้อนกลับไปช่วงต้นบทความ ที่เราบอกว่าปี 2537 เป็นปีแรกที่มีการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทย ตอนนั้นคุณสารัชถ์อายุเพียง 29 ปีเท่านั้น
ก็ไม่แน่ใจว่าคุณสารัชถ์เห็นการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทย จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะก่อตั้งธุรกิจเป็นของตัวเองหรือไม่ 
เพราะคุณสารัชถ์ในวัย 29 ปี คือตอนที่เขาเริ่มก่อตั้งอาณาจักร GULF ขึ้นมา
ไม่น่าเชื่อว่าผ่านมาเกือบ 30 ปี ชายหนุ่มอายุ 29 ปีคนนั้น จะกลายมาเป็นแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย ที่ถือครองหุ้นมูลค่ากว่าหลักแสนล้านบาท ซึ่งมูลค่าระดับนี้ยังไม่เคยมีแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยคนไหนเคยครอบครองมาก่อน
ที่บอกว่า GULF เป็นอาณาจักรที่เพิ่งสร้าง ก็เพราะว่าหลังจากที่ GULF จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นแล้ว
บริษัทแห่งนี้ก็ยังไม่หยุดที่จะขยายอาณาจักรธุรกิจของตัวเองออกไปในน่านน้ำใหม่ ที่ตัวเองไม่เคยเข้าไปทำธุรกิจมาก่อน
ดีลที่ฮือฮาในวงการตลาดทุนก็คือ ดีลการควบรวมระหว่าง GULF และ INTUCH การรวมกันระหว่างธุรกิจโรงไฟฟ้า และธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีรายได้มั่นคงทั้งคู่ 
ทำให้เสมือนว่าคุณสารัชถ์ มีเครื่องจักรผลิตเงินสด 2 เครื่องอยู่ในมือ
นอกจากนี้ในโลกยุค AI สิ่งที่ AI ต้องการมากที่สุดก็คือไฟฟ้า และข้อมูล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็อยู่ในมือของ GULF และ INTUCH
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมคุณสารัชถ์ ถึงโค่นแชมป์เก่า ที่หลายคนไม่คิดว่าจะมีใครโค่นได้ และขึ้นเป็นแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย 6 ปีซ้อน ด้วยมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวมกันมากถึง 240,000 ล้านบาท ในปี 2567
จะเห็นได้ว่า ในแต่ละยุคสมัย สิ่งที่เศรษฐีหุ้นไทยทุกคนมีร่วมกันคือ การมองเห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศ มีอุตสาหกรรมอะไรเป็นตัวผลักดัน แล้วคว้าโอกาสนั้นไว้ 
แต่ที่น่ากังวลก็คือในโลกยุคใหม่ที่ AI กำลังจะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ธุรกิจไหนที่ไม่ได้ประโยชน์จาก AI อาจจะมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจน้อยลง
เมื่อหันไปมองในตลาดหุ้นไทย กลับมีแต่ธุรกิจที่เป็นโลกยุคเก่า ทั้งอสังหาฯ โรงพยาบาล ร้านอาหาร ธนาคาร ค้าปลีก ที่ล้วนพึ่งพาการบริโภคของประชากร
ในโลกที่ประชากรเกิดน้อยลง สวนทางกับจำนวน AI ที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจเหล่านี้จะเริ่มมีรายได้ลดลงไปเรื่อย ๆ เราจึงเห็นดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหนเลยมา 30 ปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่โลกเปลี่ยนไปเร็วขึ้นทุกวันแบบนี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่าได้ในอนาคต ธุรกิจของเศรษฐีหุ้นไทยในยุคต่อไปจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะสุดท้ายแล้ว การเปลี่ยนแปลงย่อมต้องเกิดขึ้นเสมอ
ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า นักธุรกิจคนไหนในช่วงวัย 30 ปี ที่กำลังนั่งอ่านบทความนี้อยู่ อาจจะกลายเป็นเศรษฐีหุ้นที่รวยที่สุดของตลาดหุ้น ในอีก 30 ปีข้างหน้าก็เป็นได้..
#ลงทุน
#เศรษฐกิจไทย
#MoneyWheels
References
-วารสารการเงินธนาคาร
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.