สรุป หลักการลงทุน หุ้นคุณภาพ ของ Sir Chris Hohn ตำนานนักลงทุน แห่งอังกฤษ

สรุป หลักการลงทุน หุ้นคุณภาพ ของ Sir Chris Hohn ตำนานนักลงทุน แห่งอังกฤษ

16 มิ.ย. 2025
“ในโลกนี้มีแค่ 200 บริษัทเท่านั้นแหละครับ ที่ผมมองว่าน่าลงทุน” 
นี่คือคำพูดของ Sir Chris Hohn นักลงทุนชาวอังกฤษ ผู้บริหารเงินมูลค่า 162,000 ล้านบาท ในกองทุน Hedge Fund ของเขา ที่ให้สัมภาษณ์ไว้กับทาง Norges Bank Investment Management 
การมีหุ้นที่สนใจจะลงทุนถึง 200 ตัว อาจจะดูเยอะมากสำหรับคนทั่วไปอย่างเรา ๆ 
แต่ถ้าหากนับจากจำนวนบริษัทจดทะเบียน ทั้งหมดในโลกมากถึง 53,555 บริษัทแล้ว
ก็แปลว่าหุ้นที่ผ่านเกณฑ์การลงทุนของคุณ Chris ได้ มีไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ 
ถ้าหากสงสัยว่า นิยามคำว่า “หุ้นคุณภาพ” ของเขามีอะไรบ้าง ถึงมีบริษัทน้อยนัก ที่จะผ่านเกณฑ์ของเขาได้ ? 
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
Activist Investor คือเหล่านักลงทุน ที่จะใช้อำนาจของผู้ถือหุ้นที่พวกเขามี คอยกดดันให้ผู้บริหารทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ เพื่อปลดล็อกมูลค่าหุ้น 
และนั่นเองคือ หลักการลงทุนในช่วงแรก ที่คุณ Chris ใช้กับกองทุน Hedge Fund ของเขาที่ชื่อว่า The Children’s Investment Fund Management หรือ TCI
โดยกองทุนนี้ถูกตั้งขึ้นในปี 2003 หลังลาออกจากการบริหารกองทุนหุ้นยุโรปของ Perry Capital ซึ่งเขาแจ้งเกิด ด้วยการทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงถึง 20% ต่อปี 
โดยในช่วงแรกของการลงทุนนั้น กองทุน TCI ถือว่าเป็นที่หวั่นเกรงของเหล่าบริษัทในยุโรป
เพราะไม่ว่าบริษัทจะใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าหากคุณ Chris มองเห็นว่าเป็นโอกาสดี ที่จะเข้าไปถือหุ้น และกดดันผู้บริหารให้ปลดล็อกมูลค่าของบริษัท
เช่น ในปี 2005 เขาเคยขัดขวางไม่ให้บริษัท Deutsche Börse Group เจ้าของตลาดหลักทรัพย์ Frankfurt ของเยอรมนี ควบรวมกับ London Stock Exchange จน CEO ของบริษัทต้องลาออก และยุติการควบรวม
และอีกครั้งที่สำคัญก็คือ การกดดันผู้บริหารของ ABN AMRO ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของเนเธอร์แลนด์ เมื่อปี 2007 
ให้ยอมแบ่งขายธุรกิจธนาคารในประเทศต่าง ๆ กับธนาคารอื่น เพื่อปลดล็อกมูลค่าหุ้น จนสุดท้ายผู้บริหารก็ยอมแบ่งขายให้กับธนาคารใหญ่ ๆ จากต่างประเทศไป
ถึงตรงนี้เส้นทางลงทุน ด้วยการเป็น Activist Investor แบบนี้ ก็ช่วยให้คุณ Chris สร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 40% ต่อปีเลย 
อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณ Chris ผู้กดดันบอร์ดบริหารต่าง ๆ ทั่วยุโรปอย่างเกรี้ยวกราด ต้องปรับสไตล์การลงทุน ก็คือ “วิกฤติซับไพรม์” ในปี 2008.. 
กองทุน TCI ของคุณ Chris ขาดทุนถึง 43% จากเหตุการณ์นี้ แถมอีก 3 ปีถัดมายังทำผลตอบแทนได้ไม่เกิน 10% เลยสักปี ซึ่งถือว่าห่างไกลจากตัวเลขผลตอบแทนในช่วงก่อนหน้า แบบเทียบไม่ติด
ซึ่งในปี 2012 ไม่เพียงแค่นักลงทุนที่พากันหนีหายไปจากเขา ด้วยการถอนเงิน จนมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของกองทุนหายไปกว่า 70% แถมหลายคนในทีมนักวิเคราะห์ก็ทยอยกันลาออก 
ถึงจุดนี้เองที่ทำให้คุณ Chris หวนกลับไปนึกถึงอดีต ตอนก่อนที่เขาจะมาเปิดกองทุน TCI ของตัวเอง 
เขาจะมีสิ่งที่เรียกว่า “Quality List” ซึ่งในนั้นก็จะเป็นรายการที่บอกว่า หุ้นคุณภาพ ในสายตาของเขาต้องมีหน้าตาอย่างไร
แต่เมื่อออกมาเปิดกองทุนเอง เขากลับถอยห่างจากการลงทุนในหุ้นคุณภาพ กลับมัวแต่ไปลงทุนในบริษัทที่ไม่ได้มีคุณภาพนัก แต่ต้องใช้แรงใช้เวลา ไปกับการกดดันให้ผู้บริหารปลดล็อกมูลค่า 
สิ่งนี้เองก็ทำให้เขาหันกลับมาสู่หนทางแห่งการลงทุนหุ้นคุณภาพที่ตัวเองละทิ้งไป และสุดท้ายปัจจุบันนี้ มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของเขา ก็โตขึ้นมาถึง 8 เท่า จากวันนั้น 
และยังทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ประมาณ 18% ต่อปี มาตลอด 20 กว่าปี 
แม้จะไม่มีใครรู้ว่า Quality List ที่เขายังใช้มาจนถึงทุกวันนี้นั้นมีอะไรบ้าง แต่จากการสัมภาษณ์กับ Norges Bank Investment Management ก็ทำให้เราพอจะเห็นภาพ “หุ้นคุณภาพ” ของเขาได้
1. มีป้อมปราการ (Moat) ที่แข็งแกร่ง
บริษัทที่คุณ Chris สนใจจะต้องเป็นบริษัทที่มี Moat อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
- มีสินทรัพย์ทางกายภาพ ซึ่งไม่สามารถถูกสร้างมาแทนที่ได้ง่าย ๆ อย่างเช่น สนามบิน, ทางด่วน, ทางรถไฟ หรือเสาโทรคมนาคม 
เพราะบริการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจผูกขาดโดยธรรมชาติ ที่ไม่ว่าคู่แข่งจะอยากเข้ามาแข่งขันแค่ไหนก็ทำได้ยากมาก 
- มีทรัพย์สินทางปัญญาที่ซับซ้อนมาก ยากต่อการที่คู่แข่งจะลอกเลียนแบบ เช่น ธุรกิจเครื่องยนต์อากาศยาน ที่มีผู้เล่นน้อยรายและไม่มีคู่แข่งใหม่มานานกว่า 50 ปี 
เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่ซับซ้อน และใช้ความรู้เฉพาะทางมาก ๆ ในการวิจัยและพัฒนา ทำให้ต้นทุนในการลอกเลียนแบบสูง
- มีฐานลูกค้าเดิมที่แข็งแกร่ง และต้นทุนการเปลี่ยนย้ายสูง เช่น ซอฟต์แวร์ที่สำคัญต่อภารกิจขององค์กรที่เมื่อติดตั้งแล้วยากจะเปลี่ยน เหมือนกับโปรแกรม Microsoft Office ที่ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้ของคู่แข่งได้ยาก
- มีพลังจากเครือข่าย หรือก็คือ ธุรกิจที่ยิ่งมีผู้ใช้มากยิ่งมีมูลค่ามากขึ้น เช่น Visa หรือ Meta 
และถ้ายิ่งอยู่ในตลาดที่เรียกว่า “Winner Takes All” หรือก็คือบริษัทที่ใหญ่ สามารถ “กินรวบ” ได้ การมีพลังจากเครือข่าย ก็จะยิ่งทำให้ธุรกิจแข็งแกร่งขึ้น
- มีแบรนด์ทรงพลังและยั่งยืน ซึ่งแม้โลกนี้จะมีแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอยู่หลากหลาย แต่แค่การมีชื่อเสียง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูง สำหรับผู้คนจริง ๆ 
โดยคุณ Chris ได้ยกตัวอย่าง McDonald's ว่าเป็นแบรนด์ที่ทรงพลังและยั่งยืน
2. ผลิตสินค้าหรือบริการที่จำเป็น และมีอำนาจขึ้นราคา
คุณ Chris ชอบธุรกิจที่ผลิตสินค้าหรือบริการที่ผู้คนจำเป็นต้องใช้ เพราะไม่เพียงแค่บริษัทจะมีรายได้ประจำ แต่รายได้ที่จะเกิดขึ้นนั้น สามารถคาดการณ์ได้ง่ายด้วย 
และเมื่อขายในสิ่งที่จำเป็น บริษัทเหล่านี้ก็จะมีความสามารถในการขึ้นราคา โดยคุณ Chris นั้น ชอบบริษัทที่สามารถทำให้รายได้เติบโตด้วยการขึ้นราคา
มากกว่าบริษัทที่รายได้เติบโตด้วยการขายสินค้าได้เพิ่ม เพราะการขึ้นราคาสินค้า เป็นการทำให้รายได้ และกำไรเติบโตขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มต้นทุน เหมือนกับการผลิตสินค้าเพิ่มเพื่อขาย 
3. มูลค่าที่แท้จริงเติบโตได้ในระยะยาว 
คุณ Chris ไม่ค่อยสนใจราคาของหุ้น หรือแม้แต่อัตราส่วนประเมินมูลค่าหุ้นในปัจจุบันเท่าไรนัก แต่ให้ความสำคัญกับมูลค่าที่แท้จริงในอนาคต ที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาวแทน 
ทำให้แม้จะซื้อหุ้นแพงหน่อยเมื่อเทียบกับในปัจจุบัน แต่ในระยะยาวแล้ว เมื่อมูลค่าที่แท้จริงเพิ่มขึ้น ราคาซื้อที่แพงในตอนนั้น ก็จะกลายเป็นถูกขึ้นมาทันที
ด้วยการลงทุนในสุดยอดหุ้น ที่มีอยู่เพียงหยิบมือของโลกใบนี้ ก็ทำให้คุณ Chris ไม่จำเป็นจะต้องเหนื่อยกับการกดดันผู้บริหาร ในบริษัทแย่ ๆ อีกต่อไป 
และลงทุนไปได้ยาว ๆ อย่างสบายใจ เห็นได้จากระยะเวลาถือหุ้นเฉลี่ยแต่ละตัวของกองทุน TCI ที่นานถึง 8 ปี ซึ่งถือว่านานกว่ากองทุน Hedge Fund ทั่วไปมาก 
จะเห็นได้ว่า ในการลงทุนนั้น การโฟกัสไปกับธุรกิจที่ดีที่สุดไม่กี่อย่าง แม้จะราคาแพงไปบ้าง ย่อมให้ผลตอบแทนที่งดงามกว่า การโฟกัสกับธุรกิจที่พอใช้ได้ แต่ราคาถูก
เพราะฉะนั้น การยึดมั่นกับ Quality List ของตัวเราเอง เพื่อไว้ใช้ปฏิเสธไอเดียการลงทุนที่แค่พอใช้ได้ไปเรื่อย ๆ แม้สุดท้ายแล้วจะเหลือหุ้นไม่กี่ตัวในโลกนี้ให้เราลงทุนก็ตาม
ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า มันอาจจะนำเราไปสู่สุดยอดการลงทุน เหมือนอย่างที่คุณ Chris ได้พบเจอ ก็เป็นได้.. 
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ 
คุณ Chris Hohn ได้ยศ Sir จากการทำการกุศล ด้วยการบริจาคให้กับเด็กยากไร้ทั่วโลก ผ่านมูลนิธิ The Children's Investment Fund Foundation ของเขา
เงินบริจาคเหล่านั้น ก็มาจากค่าธรรมเนียมบริหารจัดการกองทุน TCI ที่คุณ Chris แบ่งมาบริจาคนั่นเอง โดยบริจาคมาตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนในปี 2003 และมีหยุดไปในช่วงที่ขาดทุนหนักจากวิกฤติซับไพรม์ 
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#ChrisHohn
References 
-Sir Chris Hohn | Podcast | In Good Company | Norges Bank Investment Management
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.