สรุป 3 บทเรียนการเงิน ฉบับคนมีธุรกิจส่วนตัว จากเคส ดารา น. ติดหนี้ 400 ล้านบาท

สรุป 3 บทเรียนการเงิน ฉบับคนมีธุรกิจส่วนตัว จากเคส ดารา น. ติดหนี้ 400 ล้านบาท

24 พ.ย. 2025
เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ได้มีประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ นั่นก็คือ การที่ดารา ตัวย่อ น. 
ได้ถูกเปิดเผยว่า มีการหยิบยืมเพื่อน ๆ หลากหลายคนมาลงทุน แล้วเพื่อน ๆ ก็จะได้เงินปันผลกลับมา โดยรับปากว่าจะจ่ายดอกเบี้ย 4% ต่อเดือน ที่ถ้าหากคิดเป็นรายปีก็จะสูงถึง 48% ต่อปี 
แต่ตอนนี้ไม่สามารถคืนเงินได้ จนกลายเป็นติดหนี้สูงถึง 400 ล้านบาท.. 
ซึ่งในตอนหลังเจ้าตัว ก็ได้ออกมาชี้แจงว่า การชักชวนเพื่อนมาลงทุนนั้น เกิดจากการที่ตัวเองทำธุรกิจเกินตัว จนสุดท้ายต้องหยิบยืมเพื่อน ๆ มาเพื่อหมุนเงินในธุรกิจที่กำลังขาดทุน 
เรื่องนี้ถ้าหากมองดี ๆ จะเห็นได้ว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่ดราม่าวงการบันเทิงเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นบทเรียนให้กับคนทั่วไป ที่ตอนนี้กำลังทำธุรกิจส่วนตัวได้เหมือนกัน 
แล้วมีบทเรียนทางการเงินอะไรที่เราจะได้จากเคสนี้บ้าง ? 
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
1. แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจออกจากกัน
สิ่งนี้คือสิ่งที่เราควรทำตั้งแต่วันแรก ที่เริ่มมีธุรกิจเป็นของตัวเอง 
เพราะนอกจากจะป้องกันไม่ให้เราสูบเงินออกจากธุรกิจ ไปใช้อย่างฟุ้งเฟ้อ จนธุรกิจไม่มีเงินทุนที่จะโตต่อ หรือล้มละลายแล้ว 
ในขณะเดียวกันก็เป็นการป้องกัน ไม่ให้เราล้มละลายไปพร้อมกับธุรกิจ ด้วยการเอาเงินหรือสินทรัพย์ส่วนตัว ไปอัดฉีดธุรกิจที่กำลังขาดทุน
แถมยังทำให้เรารู้ภาพรวมธุรกิจอย่างชัดเจนด้วยว่า ผลกำไรขาดทุนของธุรกิจเป็นเท่าใด อีกทั้งยังช่วยให้จัดการภาษีจากการทำธุรกิจและรายได้อื่น ๆ ของเรา ให้ถูกต้องได้ง่ายขึ้นอีกด้วย 
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะไม่รู้เลยว่าภาพรวมธุรกิจกำไรขาดทุนเป็นอย่างไรบ้าง เงินที่เข้ามา มาจากการทำธุรกิจจริงไหม หรือ เป็นเงินจากรายได้ส่วนอื่น ๆ  
โดย ดารา น. เองก็ได้ยอมรับว่า “มีการโอนตรงนั้นมาโปะตรงนี้ จนยุ่งกันไปหมด”
2. ขยายธุรกิจเร็วเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี 
เมื่อมองไม่เห็นภาพรวมของแต่ละธุรกิจ ว่ากำไรขาดทุนเท่าไร ก็เหมือนคนตาบอดเดินข้ามถนน 
เพราะเมื่อเงินในส่วนอื่น ๆ มาผสมปนเป จนภาพธุรกิจที่ขาดทุนผิดเพี้ยนไป เป็นเหมือนว่าพอมีเงินอยู่ได้ ก็อาจจะทำให้เราตัดสินใจผิด ด้วยการขยายกิจการเพื่อเติบโต 
และที่หนักกว่าการขยายกิจการในธุรกิจที่ตัวเองทำอยู่ ก็คือ การขยายไปทำธุรกิจอื่นเพิ่ม ที่ตัวเองไม่ได้เชี่ยวชาญหรือเข้าใจ..
เห็นได้จากธุรกิจของ ดารา น. ที่นอกจากมีธุรกิจหลักเป็น ร้านตัดผม แล้ว ก็ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ได้แก่ 
- แบรนด์นาฬิกา
- แว่นตา
- เสื้อผ้าเด็ก
- ธุรกิจอิเวนต์และกีฬา 
- รีสอร์ต 
ซึ่งจะเห็นได้ว่าแต่ละธุรกิจนั้น แทบจะอยู่คนละอุตสาหกรรมกันหมดเลย และทั้งหมดนั้น ดารา น. กล่าวว่าตนเอง “ทำคนเดียว” 
ให้เราลองคิดภาพตามว่า ตัวเราเองทำเพียงแค่ธุรกิจเดียวก็ยังเหนื่อยมาก แล้วการทำธุรกิจที่แตกต่างกันถึง 6 ธุรกิจ ด้วยตัวคนเดียว จะหนักหนากว่านั้นขนาดไหน ในการดูแลธุรกิจให้ทั่วถึง
แถมยังไม่สามารถเห็นภาพรวมได้ด้วยว่าธุรกิจไหนกำไร ธุรกิจไหนขาดทุนแบบชัด ๆ 
การตัดสินใจสำหรับธุรกิจต่าง ๆ จึงนำไปสู่ความผิดพลาดได้ง่ายมาก และตามมาด้วยการขาดทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  
กว่าจะรู้ตัวอีกที ตอนนี้หลายธุรกิจที่ขยายไปก่อนหน้า ก็ขาดทุนหนักจนไม่มีสภาพคล่อง แถมตัวเองก็ไม่ได้เงินกลับมาจากการลงทุนทำธุรกิจ  
แต่เมื่อเราอยากให้ธุรกิจไปต่อ ในขณะที่ตัวเราเองก็ไม่ได้มีเงินสดเหลือเฟือ ก็ทำให้เราต้องหันไปพึ่งทางเลือกสุดท้าย อย่างการ “กู้หนี้นอกระบบ” 
3. ระวังกับดักหนี้นอกระบบ 
อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า เงินกู้ที่ ดารา น. หยิบยืมจากเพื่อน ๆ นั้น ดอกเบี้ย 4% ต่อเดือน คิดเป็นต่อปีสูงถึง 48% ต่อปี 
ซึ่งแน่นอนว่าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ว่า การกู้ยืมเงินระหว่างบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ต้องไม่เกิน 1.25% ต่อเดือน หรือ 15% ต่อปี 
โดยเหตุผลก็เพราะว่า ทาง ดารา น. นั้นไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน
แต่สุดท้ายด้วยดอกเบี้ยที่มหาศาลขนาดนี้ ประกอบกับธุรกิจที่ก็ยังขาดทุน ก็ทำให้ ดารา น. จ่ายได้เพียงแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ไม่สามารถคืนเงินได้เลย 
สิ่งนี้เองคือความน่ากลัวของกับดักหนี้นอกระบบ ที่กู้ยืมเงินได้ง่าย ไม่ต้องผ่านกระบวนการเอกสารมากมาย และมีสินทรัพย์ค้ำประกัน 
แต่แลกกับอัตราดอกเบี้ยสุดโหด ที่ทบต้นให้ยอดหนี้ของเราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็จ่ายแทบไม่ไหว
นอกจากนี้ การกู้หนี้นอกระบบ ยังทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงมาตรการหรือเครื่องมือในการปรับโครงสร้างหนี้ ที่ธนาคารและภาครัฐมีด้วย 
เช่น การรีไฟแนนซ์, เจรจาลดอัตราดอกเบี้ย, ขยายเวลาชำระหนี้, รวมหนี้เป็นก้อนเดียว, Haircut ขอส่วนลดยอดหนี้ หรือแม้แต่ พักชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้น 
เพราะฉะนั้น ถ้าหากเราไม่อยากจะตกที่นั่งลำบาก จนต้องกู้หนี้นอกระบบแบบนี้ สิ่งที่เราต้องทำก็คือ 
กันเงินสำรองจากกำไรไว้ให้กับธุรกิจ เป็นจำนวนเท่ากับค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจประมาณ 3 ถึง 6 เดือน เพื่อให้ธุรกิจพอไปต่อได้บ้างตอนขาดทุน ไม่ใช่เอาไปใช้จ่ายเอง หรือ ขยายกิจการต่อจนหมด 
เจ้าของกิจการอย่างเราเองก็สำคัญไม่แพ้กัน สำหรับตัวเราเองก็ต้องมีเงินสำรองฉุกเฉิน เท่ากับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างต่ำ 9 เดือน เผื่อไว้ตอนที่ธุรกิจเราไม่เป็นไปตามฝัน จะได้มีเงินสำหรับใช้ชีวิตต่อไปได้ 
โดยเหตุผลที่เงินสำรองฉุกเฉินต้องเพิ่มเงินสำรองฉุกเฉินเป็น 9 เดือน ไม่ใช่ 6 เดือนแบบมนุษย์เงินเดือน ก็เนื่องมาจากว่าการทำธุรกิจมีความเสี่ยงจากรายได้ไม่แน่นอน มากกว่าทำงานประจำ
จะเห็นได้ว่า ปัญหาการเงินเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นดาราที่มีชีวิตหรูหรา หรือ คนธรรมดาทั่วไป 
การวางแผนการเงินส่วนบุคคล และความรู้การเงินในธุรกิจ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะเจ้าของกิจการ ที่ทุ่มเทชีวิตไปกับธุรกิจในวันนี้ เพื่อที่จะได้สบายในวันหน้า
ทำให้หลังจากนี้ ถ้าเราอยากจะเริ่มต้นทำธุรกิจ หรือเป็นคนที่มีธุรกิจอยู่แล้ว 
สิ่งที่เราควรจะเริ่มทำก็คือ การแยกบัญชีส่วนตัวและบัญชีธุรกิจให้ชัดเจน เพื่อที่จะได้เห็นภาพรวมของธุรกิจที่แท้จริง และตัดสินใจขยายกิจการได้อย่างถูกต้อง 
รวมทั้งกันเงินสำรองไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อเป็นแผนสำรองให้ธุรกิจและตัวเอง หากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไม่เป็นตามที่ฝัน 
เพื่อจะได้ไม่ต้องติดกับดักหนี้สินนอกระบบ จนหาทางออกแทบไม่พบ แบบเดียวกันกับ เคสของดารา น. นั่นเอง.. 
#วางแผนการเงิน
#หลักวางแผนการเงิน
#หนี้400ล้าน
References 
-ภาพจากรายการ เที่ยงวันทันเหตุการณ์ "หนุ่ม กรรชัย" เปิดจักรวาล "ดารา น." ชวนลงทุน ดอกเบี้ยสูง เสียหายพุ่งหลายร้อยล้าน วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.