อธิบาย “Economic Moat” ผ่าน Alphabet หุ้นตัวใหม่ล่าสุด ที่บริษัทของ Warren Buffett เข้าไปลงทุน

อธิบาย “Economic Moat” ผ่าน Alphabet หุ้นตัวใหม่ล่าสุด ที่บริษัทของ Warren Buffett เข้าไปลงทุน

19 พ.ย. 2025
“ความผิดพลาดจากการลงทุนแย่ ๆ ยังแพ้ความผิดพลาดจากการไม่ได้ลงทุนหุ้นดี ๆ” 
คือสิ่งที่คุณ Warren Buffett และคู่หูผู้ล่วงลับอย่างคุณ Charlie Munger มักจะย้ำเตือนอยู่บ่อยครั้ง 
เพราะแม้แต่ตำนานนักลงทุนของโลกอย่างพวกเขา ก็ยังยอมรับว่าพลาดที่ไม่ได้ลงทุนกับ Alphabet เจ้าของ Google และ YouTube ในช่วงแรก ๆ 
แต่เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ได้มีรายงานออกมาว่า บริษัท Berkshire Hathaway ได้เข้าไปลงทุนในหุ้น Alphabet เป็นมูลค่ากว่า 139,000 ล้านบาท 
และทำให้ Alphabet กลายเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 10 ของพอร์ต ด้วยสัดส่วน 1.62% ทันที
สำหรับการเปลี่ยนท่าทีมาลงทุนหุ้นเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นของ Berkshire Hathaway แบบนี้ อาจทำให้หลายคนแปลกใจ
แต่ถ้าเราลองใช้เครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจอย่าง “Economic Moat” หรือคูเมืองทางเศรษฐกิจที่คุณ Warren Buffett ใช้ มาวิเคราะห์ Alphabet ดู ก็อาจจะเข้าใจการลงทุนในครั้งนี้มากขึ้นก็ได้ 
แล้ว Economic Moat คืออะไร และสามารถใช้วิเคราะห์ธุรกิจได้อย่างไรบ้าง ? 
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
Economic Moat นั้น จะช่วยให้เราวิเคราะห์ได้ว่า บริษัทหนึ่ง ๆ มีความได้เปรียบอะไรบ้าง ที่จะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันของบริษัทให้เหนือกว่าคู่แข่ง
โดย Economic Moat ของคุณ Warren Buffett นั้น จะแบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ 
1. ความได้เปรียบด้านพลังเครือข่าย (Network Effect) 
ธุรกิจที่มี Network Effect หรือพลังเครือข่าย คือธุรกิจที่ยิ่งมีคนใช้มาก ก็จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจมากตามไปด้วย 
ซึ่งถ้าหากเราดูธุรกิจหลักในมือของ Alphabet จะพบว่าแต่ละธุรกิจล้วนสร้าง Network Effect ได้ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็น 
- Google ที่ยิ่งมีคนมาเซิร์ชเยอะ Alphabet ก็จะยิ่งมีข้อมูลผู้ใช้งานมากขึ้น เพื่อที่จะพัฒนาอัลกอริทึมของตัวเองให้เก่งขึ้นเรื่อย ๆ  
- ระบบปฏิบัติการ Android ที่มีฐานผู้ใช้งานใหญ่มาก จากการที่โทรศัพท์มือถือกว่า 70% ทั่วโลก ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 
ซึ่งก็จะดึงดูดนักพัฒนาแอปพลิเคชันจำนวนมาก เข้าไปพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ ๆ บน Android และเข้าไปขายใน Google Play Store เพราะสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานได้คราวละมาก ๆ 
- YouTube ที่มีผู้ใช้งานกว่าเดือนละ 2,500 ล้านคนทั่วโลก ก็ดึงดูดให้ Creator ต่าง ๆ เข้าไปสร้างสรรค์ Content บน YouTube
และเมื่อมี YouTube มี Content หลากหลายให้รับชม ก็จะยิ่งดึงดูดผู้ใช้ให้เข้ามาดู YouTube มากขึ้นเรื่อย ๆ วนไป 
โดย Alphabet มีธุรกิจที่สร้าง Network Effect เหล่านี้มานานหลายปีแล้ว จึงทำให้ Alphabet มีความได้เปรียบด้าน Network Effect ที่สูง และคู่แข่งใหม่จะสร้าง Network Effect ให้ใหญ่เทียบเท่าก็ทำได้ยาก
2. ความได้เปรียบด้านสินทรัพย์ไม่มีตัวตน (Intangible Asset)
สินทรัพย์ไม่มีตัวตนของบริษัทนั้น ก็มีมากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น แบรนด์และชื่อเสียง, สิทธิบัตร, สินทรัพย์ทางปัญญา หรือแม้แต่ความลับทางการค้า 
โดยบริษัทที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง หรือสินทรัพย์ทางปัญญาที่บริษัทอื่นลอกเลียนแบบได้ยาก ก็จะถือได้ว่ามีความได้เปรียบด้านสินทรัพย์ไม่มีตัวตนสูง 
ซึ่งสำหรับ Alphabet แล้ว ก็ถือได้ว่ามีความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่ค่อนข้างสูงมาก แม้ว่าในช่วงหลัง ๆ พฤติกรรมของผู้คนจากที่พูดกันติดปากว่า ไม่รู้อะไรให้ไป “เซิร์ช Google” ดู เริ่มกลายเป็นให้ไป “ถาม AI” แล้ว
แต่ในด้านของมูลค่าแบรนด์ บริษัทวิจัยตลาดอย่าง Kantar BrandZ ก็ยังตีมูลค่าแบรนด์ Google และ YouTube ไว้สูงถึง 30,640 ล้านบาท และ 2,890 ล้านบาท จากการที่แบรนด์ยังคงเป็นที่ไว้ใจของผู้ใช้งานจำนวนมาก 
นอกจากนี้ในสนามของ AI บริษัท Alphabet ก็ยังเป็นผู้คิดค้นและวิจัย AI รายใหญ่ โดยมีรายงานว่า Alphabet มีสิทธิบัตรเกี่ยวกับ AI ในมือ มากถึง 12,000 ฉบับเลย
3. ความได้เปรียบด้านขนาดมีประสิทธิภาพ (Efficient Scale)
สำหรับบางอุตสาหกรรม ขนาดของธุรกิจนั้นเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เรียกว่า “Winner Take Most” 
หรือก็คือ บริษัทที่เป็นผู้ชนะแล้ว จะกลายเป็นบริษัทใหญ่ที่สุด และได้ Market Share ส่วนใหญ่ของตลาดไปครอง 
ซึ่งถ้าบริษัทไหนกลายเป็นแบบนี้ได้ ก็จะเป็นบริษัทที่มีความได้เปรียบด้านขนาด มีประสิทธิภาพสูงมาก ที่จะกันให้คู่แข่งใหม่ไม่อยากเข้ามา เพราะกลัวว่าจะไม่คุ้มค่า ถ้าทุ่มเงินทุนมหาศาลมาแข่งกับเจ้าตลาดที่มีอยู่
สำหรับ Alphabet นั้น สิ่งที่เราเห็นได้ชัด ๆ เลยว่าพวกเขามีความได้เปรียบในด้านนี้มาก ก็คือ Market Share ของตลาด Search Engine ทั่วโลก ที่ Google นำโด่งถึง 90% 
โดยมีการประมาณการว่าถ้าคู่แข่งรายไหนอยากจะสร้าง Search Engine ใหม่ ให้ใหญ่ทัดเทียมกับ Google อาจจะต้องใช้เงินหลักล้านล้านบาท 
แถมถ้าสร้างมาแล้ว ไม่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากพอ เพื่อเก็บข้อมูลไว้พัฒนาอัลกอริทึมของตัวเองแบบ Google ก็อาจจะทำให้ Search Engine ใหม่ แทบไม่มีใครใช้งานก็ได้ 
เช่นเดียวกันกับโครงสร้างพื้นฐานของระบบ Cloud อย่าง Data Center ที่ถ้าไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกแบบ Google ที่มีเงินสดมหาศาลไว้ลงทุน ก็คงยากที่จะหาใครมาแข่งขันด้วยได้
4. ความได้เปรียบด้านต้นทุน (Cost Advantage)
เมื่อบริษัทมีฐานลูกค้าจำนวนมาก จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “Economies of Scale” ซึ่งจะไปกดให้ต้นทุนเฉลี่ยในการผลิตสินค้าหรือบริการถูกลงเรื่อย ๆ เมื่อมีลูกค้าเพิ่มขึ้น  
จนทำให้ท้ายที่สุดบริษัทก็จะสามารถมีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งได้ และสร้างความได้เปรียบทางด้านต้นทุนขึ้นมา 
สำหรับ Alphabet เอง แม้ในปีนี้จะมีการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของ Cloud และ AI จำนวนมาก ตลอด 3 ไตรมาสที่ผ่านมา 
แต่ในทางตรงกันข้าม อัตรากำไรจากการดำเนินงาน หรือ Operating Margin ที่บอกเราว่า ทุก ๆ รายได้ 100 บาทของ Google Cloud จะเป็นกำไรของธุรกิจส่วนนี้กี่บาท กลับสูงขึ้นเรื่อย ๆ 
- ไตรมาส 1 ปี 2025 Operating Margin ของ Google Cloud อยู่ที่ 17.8%
- ไตรมาส 2 ปี 2025 Operating Margin ของ Google Cloud อยู่ที่ 20.7%
- ไตรมาส 3 ปี 2025 Operating Margin ของ Google Cloud อยู่ที่ 23.7%
อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของรายได้จาก Google Cloud แล้ว 
ยังแสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบทางด้านต้นทุนของ Alphabet อีกด้วย ทั้งที่ลงทุนไปจำนวนมาก แต่ต้นทุนกลับไม่ได้พุ่งสูงจนกัดกินกำไรของ Google Cloud ไปจนหมด 
5. ความได้เปรียบด้านต้นทุนการเปลี่ยนย้าย (Switching Cost)
ต้นทุนแห่งการเปลี่ยนย้ายนี้ เป็นต้นทุนที่ทางผู้บริโภคจะต้องจ่าย จากการเปลี่ยนไปใช้สินค้าหรือบริการของทางคู่แข่ง ไม่ใช่บริษัทเดิม 
ซึ่งบางครั้งก็อาจจะไม่ได้เป็นตัวเงิน แต่คือความยุ่งยาก หรือแม้กระทั่งความคุ้นเคยที่มาก จนลูกค้ายากจะเปลี่ยนไปใช้บริการเจ้าอื่น 
ถึงแม้ว่าการเซิร์ช Google จะถูกเหล่า Generative AI เข้ามาแข่ง จนต้นทุนในการเปลี่ยนย้ายอาจจะด้อยลงไปบ้าง 
ส่วนในด้านรายได้โฆษณาก็มีช่องทางอื่น ๆ เข้ามาแข่ง เช่น Meta เจ้าของ Facebook และ Instagram เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม Alphabet ก็ยังเหลือบริการอีกมากมาย ที่เหล่าผู้ใช้งาน ยากที่จะเปลี่ยนไปใช้เจ้าอื่น อย่างเช่น Gmail, YouTube, Google Maps หรือ Google Workspace ที่หลายออฟฟิศใช้งานกันอยู่
ก็ทำให้แม้ Alphabet จะไม่ได้มีความได้เปรียบด้านต้นทุนการเปลี่ยนย้ายที่สูงมาก ๆ แต่ก็ถือว่ายังมีความได้เปรียบอยู่พอสมควร 
จะเห็นได้ว่า แม้ Alphabet มี Economic Moat ในแต่ละด้านค่อนข้างสูงมาก แต่ธุรกิจที่มีคูเมืองแข็งแกร่ง ไม่เท่ากับธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยงเลย 
เพราะ Alphabet เองก็มีหลายธุรกิจ ที่คู่แข่งยังพอเห็นว่าคุ้มค่าที่จะเข้ามาแข่งขันได้ 
อย่างเช่น ในฝั่งของ AI ที่ก็ยังไม่ได้ผู้ชนะชัดเจน, ธุรกิจโฆษณาที่มีแพลตฟอร์มมากมายพร้อมแย่งความสนใจ หรือธุรกิจ Cloud ที่ก็มีผู้เล่นรอสอดแทรกมากมาย นอกจากศึกกับก๊กใหญ่อย่าง Microsoft และ Amazon
รวมไปถึงการผูกขาด Search Engine ก็ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันมักจะเพ่งเล็ง จนเกือบถูกบังคับให้ขาย Browser ตัวชูโรงอย่าง Chrome 
เพราะฉะนั้น แม้เราจะลงทุนกับธุรกิจที่มี Economic Moat แข็งแกร่งมาก แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะติดตามการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมอยู่เสมอ 
และอีกสิ่งหนึ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากการลงทุนครั้งนี้ของ Berkshire Hathaway ก็คือ ประตูแห่งโอกาสในการลงทุน แม้จะเปิดช้า แต่จะมีเวลาที่มันเปิดให้เราเสมอ 
ถ้าหากเราพลาดครั้งแรก สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่แค่นั่งเสียใจให้พอ แต่คือการศึกษาต่อเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดครั้งที่ 2 ขึ้น 
เหมือนกับ Berkshire Hathaway ที่แม้จะพลาดการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีดี ๆ หลายตัว ในช่วงที่คุณ Buffett และคุณ Munger ดูแลอยู่ 
แต่เหล่าผู้บริหารยุคใหม่และตัวคุณ Buffett ในปีสุดท้ายเอง ก็กลับเข้ามาลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีอีกครั้งได้ 
และไม่แน่ว่าหลังจากนี้ที่ Berkshire Hathaway อยู่ในมือผู้บริหารรุ่นใหม่เต็มตัวแล้ว 
Alphabet อาจจะไม่ใช่แค่หุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เพียงหนึ่งเดียว ที่อาณาจักรธุรกิจยักษ์ใหญ่แห่งนี้เข้าลงทุน จนกลายเป็นหุ้นสัดส่วนใหญ่อันดับต้นของพอร์ต ก็เป็นได้..
หมายเหตุ : บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำให้ซื้อหรือขายหุ้นเหล่านี้ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน ก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#Google
References
-Kantar BrandZ Most Valuable Global Brands 2025 – Top 100
-Earnings Call ไตรมาส 1, 2 และ 3 ปี 2025 ของบริษัท Alphabet
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.