
เด็กชายในรูปนี้ มี Passive Income ตั้งแต่อายุ 15 ปี ได้อย่างไร ?
4 พ.ย. 2025
เด็กชายคนหนึ่ง กำลังยกแพ็กน้ำอัดลมที่ซื้อมาไปโรงเรียน โดยที่ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้ เขาก็เพิ่งปั่นจักรยานไปส่งหนังสือพิมพ์มา
น้ำอัดลมมากมายขนาดนั้น เขาไม่ได้เอาไปดื่มเองคนเดียวให้หายเหนื่อย แต่เปลี่ยนมันเป็นเงินด้วยการแบ่งขายให้เพื่อน ๆ เช่นเดียวกันกับสิ่งอื่น ๆ ที่เขาขาย อย่างนิตยสาร และลูกกอล์ฟมือสอง
ที่น่าสนใจคือ เด็กชายคนนี้เก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้ไปต่อยอด จนรู้จักคำว่า Passive Income ตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี
และนี่คือเรื่องราวส่วนหนึ่งในวัยเด็กของคุณ Warren Buffett ที่ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ และร่ำรวยที่สุดในโลก
หากอยากรู้ว่า แนวคิดการเงินแบบไหนที่หล่อหลอมเด็กคนนี้ให้กลายเป็นนักลงทุนระดับตำนาน ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
คุณ Warren Buffett เกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลาง ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา แม่ของเขาเป็นแม่บ้าน ส่วนพ่อตอนนั้นเป็นโบรกเกอร์หุ้น ก่อนจะเป็นนักการเมืองในเวลาต่อมา
เขาเป็นเด็กที่ชอบเรื่องการคำนวณ ชอบตัวเลข และสนใจเรื่องการค้าขายมากกว่าการเรียนในห้องเรียน
ด้วยนิสัยนี้ทำให้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่หมกตัวอยู่แต่ในห้องสมุดของเมืองโอมาฮา
เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับสถิติ การค้า และการลงทุนแทบทุกเล่มที่อยู่ในห้องสมุด
และหนึ่งในหนังสือที่ได้เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล นั่นคือ หนังสือ One Thousand Ways to Make $1000
เป็นหนังสือที่รวมวิธีหาเงินและสอนการทำธุรกิจสำหรับคนธรรมดาด้วยเงินไม่มาก และสิ่งสำคัญที่สุดคือหนังสือเล่มนี้ ทำให้เขารู้จักพลังของดอกเบี้ยทบต้นเป็นครั้งแรก
อีกช่วงเวลาสำคัญในชีวิตวัยเด็กของเขา คือตอนอายุ 10 ขวบ ที่ตามพ่อไปดูงานที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก
วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นบรรยากาศการซื้อขายหุ้นจริง ๆ ทั้งเครื่องพิมพ์ราคาหุ้นที่ทำงานไม่หยุด และเสียงคนตะโกนส่งคำสั่งซื้อขาย ภาพเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกหลงใหลในโลกการเงินทันที
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาเขียนเป้าหมายของตัวเองลงไปในกระดาษทันทีเลยว่า
“เขาจะเป็นเศรษฐีเงินล้านให้ได้ก่อนอายุ 35 ปี”..
โดยแนวคิดการเงินในวัยเด็กของเขา จะแบ่งออกได้เป็น 2 สิ่งหลัก ๆ
เรียนรู้วิธีหาเงิน
ในวัยเพียง 5 ถึง 6 ขวบ เขาเริ่มต้นหาเงินด้วยตัวเอง จากการขายหมากฝรั่ง และน้ำอัดลมให้เพื่อนบ้าน
เขาจะซื้อมาแบบยกแพ็กแล้วค่อยเอามาแบ่งขาย แม้จะได้กำไรต่อชิ้นไม่มาก แต่มันก็ทำให้เขาเรียนรู้หลักการสำคัญข้อแรกที่ว่า
“กำไร คือ ส่วนต่างระหว่างราคาขายกับต้นทุน”
ซึ่งเขาจะจดบันทึกรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด แล้วคำนวณว่ามีกำไรเท่าไรในแต่ละสัปดาห์
และต่อมาเขาก็เริ่มขยายธุรกิจไปขายลูกกอล์ฟมือสอง
จากการเดินเก็บลูกกอล์ฟจากสนามใกล้บ้านแล้วนำมาทำความสะอาด จากนั้นก็เอาไปขายต่อให้คนเล่นกอล์ฟแถวนั้น
แต่เขาไม่ได้ขายทุกลูกในราคาเดียวกัน เพราะเขาสังเกตว่า แม้ลูกกอล์ฟทุกลูกจะหน้าตาคล้ายกัน แต่ลูกของแบรนด์ดัง จะขายได้ราคาดีกว่าแบรนด์ทั่วไป
เรื่องเล็ก ๆ นี้ไม่ได้แค่สอนให้เขาเข้าใจแค่เรื่องการตั้งราคา แต่ยังสอนให้เขาเริ่มเห็นความต่างระหว่าง
“ของราคาถูก” กับ “ของที่มีคุณภาพ”
ซึ่งต่อมากลายเป็นพื้นฐานสำคัญของแนวคิดการลงทุน แบบ Value Investing ที่เขายึดถือไปตลอดชีวิต
ต่อมาในวัย 14 ปี เขาเริ่มทำงานส่งหนังสือพิมพ์
เขาตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อปั่นจักรยานส่งหนังสือพิมพ์ ก่อนที่จะไปโรงเรียนตอนเช้า
ซึ่งนอกจากส่งหนังสือพิมพ์แล้ว เขายังเลือกที่จะขายนิตยสารรายสัปดาห์ควบคู่ไปด้วย
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ขายให้จบ ๆ ไปแบบไม่ได้คิดอะไร เพราะเขาจะจดรายชื่อลูกค้า ที่อยู่ และวันหมดสัญญา ไว้ในสมุดอย่างละเอียด เพื่อจะได้กลับไปชวนต่อสัญญาก่อนวันครบกำหนด
ซึ่งงานนี้ทำให้เขามีเงินเก็บรวมแล้วประมาณ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
คุณ Warren Buffett เองเคยเล่าถึงช่วงเวลานั้นไว้ด้วยว่า
“รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทเล็ก ๆ ที่มีตัวเองเป็นทั้งซีอีโอ และพนักงานในเวลาเดียวกัน”
ต่อยอดเงินที่หามาได้
ย้อนกลับไปช่วงวัย 11 ขวบ เขาเริ่มนำเงินที่ได้จากการขายของและเก็บออมมาลงทุน ซื้อหุ้นเป็นครั้งแรกในชีวิต
เขาซื้อหุ้น Cities Service ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ หลังจากได้ยินพ่อของเขาซึ่งเป็นโบรกเกอร์พูดถึงบ่อย ๆ
เขานำเงินเก็บทั้งหมด 120 ดอลลาร์สหรัฐ มาซื้อหุ้นจำนวน 3 หุ้นในราคาหุ้นละ 38 ดอลลาร์สหรัฐ โดยซื้อให้ตัวเองและซื้อให้น้องสาวด้วย
แต่หลังจากซื้อได้ไม่นาน ราคาหุ้นกลับร่วงลงจาก 38 ดอลลาร์สหรัฐ เหลือเพียง 27 ดอลลาร์สหรัฐ
แม้เขาจะรู้สึกกังวลมาก เพราะกลัวจะทำให้น้องสาวผิดหวัง แต่เขาก็ยังอดทนถือไว้
จนเมื่อราคากลับขึ้นมาที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐ เขารีบขายทันทีแม้จะได้กำไรเพียงเล็กน้อย
ก่อนที่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ราคาหุ้นกลับพุ่งขึ้นต่อไปอีก จนสูงกว่าราคาที่เขาขายกว่า 5 เท่า
เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นบทเรียนแรกในชีวิตการลงทุนของเขา ทำให้เข้าใจความรู้สึกของการ “ขายหมู” และเห็นความสำคัญของความอดทนในการลงทุน
และหลังจากนั้นในวัยประมาณ 15 ปี เขาตัดสินใจใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์ และขายนิตยสารมาลงทุนซื้อที่ดินทำการเกษตรนอกเมืองโอมาฮา
ที่ดินแปลงนี้มีขนาดราว 100 ไร่ เขาลงทุนเป็นเงินประมาณ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ซื้อที่ดินเพื่อทำการเกษตรเอง แต่ซื้อให้ชาวนาเช่าทำกินและจ่ายค่าเช่ารายปีให้เขาแทน
การลงทุนในที่ดินเกษตรกรรมครั้งนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างรายได้โดยที่เขาไม่ต้องทำงานเองเลย
ซึ่งถือเป็นรายได้ Passive Income ครั้งแรกของเขา และทำให้เขาเข้าใจว่า ถ้ามีระบบที่ดีพอ เงินก็สามารถทำงานเองได้
ซึ่งแนวคิดนี้ก็ถูกต่อยอดในช่วงวัย 17 ปีอีกครั้ง
เมื่อเขาชวนเพื่อนสนิทมาร่วมกันซื้อตู้เกมพินบอลมือสอง ในราคาเพียง 25 ดอลลาร์สหรัฐ ไปติดตั้งในร้านตัดผมใกล้บ้าน
พวกเขาตกลงว่าจะแบ่งรายได้กับเจ้าของร้านตัดผมคนละครึ่ง เพื่อให้ลูกค้าที่มาตัดผม สามารถหยอดเหรียญเล่นระหว่างรอได้
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ตู้เกมก็เริ่มทำเงินได้ พวกเขาทั้งคู่จึงตัดสินใจเอากำไรที่ได้กลับมาซื้อตู้เพิ่ม เพื่อขยายไปติดตั้งในร้านตัดผมอื่น ๆ รอบเมือง
จนสุดท้าย พวกเขามีตู้เกมพินบอลทั้งหมดถึง 7 เครื่องใน 3 ร้านตัดผม และถูกนักลงทุนมาขอซื้อกิจการทั้งหมดไป ในราคา 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 572,000 บาท ในปัจจุบัน)
เมื่อเทียบกับเงินทุนเริ่มต้นเพียง 25 ดอลลาร์สหรัฐ นั่นหมายความว่า..
พวกเขาสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 50 เท่า ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้น
หลังจากนั้นชีวิตเขาก็เข้าสู่เส้นทางของการลงทุนอย่างจริงจัง เมื่อได้เรียนต่อปริญญาโทที่ Columbia Business School และพบกับอาจารย์ Benjamin Graham ตำนานนักลงทุน ผู้วางรากฐานแนวคิด Value Investing
และแนวคิดนั้นเองก็ได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล ทำให้จากเด็กชายที่เคยเดินขายน้ำอัดลม อย่างโคคา-โคล่าตามบ้านในวันนั้น
สุดท้ายเป้าหมายที่ว่าจะเป็นเศรษฐีมีเงินล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนอายุ 35 ปี
เขาก็ทำมันได้สำเร็จเร็วกว่าที่คิดไว้ เพราะเขามีเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่ออายุได้ 32 ปี
และในวันนี้เขากลายเป็นตำนานนักลงทุน ผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจหลากหลาย ภายใต้ร่มเงาของบริษัท Berkshire Hathaway
จะเห็นว่า เรื่องทั้งหมดนี้คือ ภาพสะท้อนของพลังแห่งการทบต้นของความรู้ ที่คุณ Warren Buffett ได้มาจากประสบการณ์เรื่องการออม การลงทุน และการทำธุรกิจ สะสมกันเรื่อยมาตั้งแต่เยาว์วัย
จนกลายเป็นความเข้าใจในธุรกิจและการลงทุนอันลึกซึ้งแบบไม่เหมือนใคร อันทำให้คุณ Warren Buffett เป็นตำนานนักลงทุนมาจนถึงทุกวันนี้
ไม่ใช่การที่เขาตื่นมาแล้วมีพลังพิเศษที่ทำให้ตัวเองกลายเป็นนักลงทุนและนักธุรกิจผู้เก่งกาจได้ในชั่วข้ามคืน..
วางแผนการเงิน
หลักวางแผนการเงิน
WarrenBuffett
References
-หนังสือ The Snowball Warren Buffett and the Business of Life โดย Alice Schroeder
-https://www.fool.co.uk/2023/07/08/a-thousand-ways-to-make-1000-like-warren-buffett/
-https://www.visualcapitalist.com/warren-buffett-series-early-years/
-https://www.unl.edu/no-place-like/warren-buffett/
-หนังสือ The Snowball Warren Buffett and the Business of Life โดย Alice Schroeder
-https://www.fool.co.uk/2023/07/08/a-thousand-ways-to-make-1000-like-warren-buffett/
-https://www.visualcapitalist.com/warren-buffett-series-early-years/
-https://www.unl.edu/no-place-like/warren-buffett/