
เถ้าแก่น้อย กำลังสร้าง Passive Income จากขนมแบรนด์อื่น
28 ส.ค. 2025
ถ้าใครเป็นสายที่ชอบลงทุนในธุรกิจขนมขบเคี้ยวในตลาดหุ้นไทย หลายคนน่าจะเริ่มสังเกตเห็นชื่อของบริษัทนึง ที่เพิ่งเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทขนมดัง ๆ หลายบริษัทในปีนี้
นั่นก็คือ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN เจ้าของขนมสาหร่ายเถ้าแก่น้อย อันโด่งดังนั่นเอง
หากสงสัยว่า ทำไม TKN ต้องเข้าไปลงทุนในแบรนด์ต่าง ๆ มากมายแบบนี้ และกลยุทธ์นี้ จะช่วยให้ TKN เติบโตต่อไปอีกได้อย่างไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
จุดเริ่มต้นของสาหร่ายเถ้าแก่น้อย ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปีก่อน หรือในปี 2546
ผู้ก่อตั้งบริษัท ก็คือ คุณต๊อบ อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ อดีตเด็กติดเกม ในวัย 19 ปี ที่มีความฝันอยากช่วยครอบครัวปลดหนี้
แต่ก่อนจะมาขายสาหร่าย คุณต๊อบก็เริ่มจากการขายเกาลัดมาก่อน โดยในช่วงแรกก็ยังขายไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
จนลองปรับกลยุทธ์มาเปิดร้านขายเกาลัดในห้างสรรพสินค้าดู จึงทำให้สินค้าขายดีขึ้นมาก และเริ่มขยายสาขาออกไปมากขึ้น ประกอบกับลองเอาสินค้าประเภทอื่น เช่น ลูกท้อและสาหร่ายทอดกรอบ มาวางขาย
ผลปรากฏว่า สาหร่ายทอดกรอบ ดันกลายเป็นสินค้าขายดีที่สุด แซงหน้าเกาลัดไปเลย..
พอเป็นแบบนี้ ก็เลยทำให้คุณต๊อบ หันมาพัฒนาสินค้าประเภทสาหร่ายอย่างจริงจัง จนเกิดเป็นแบรนด์สาหร่ายเถ้าแก่น้อย อันโด่งดังที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันดี นั่นเอง
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าของเถ้าแก่น้อย แบ่งได้ดังนี้
- สาหร่ายทอด 41%
- สาหร่ายย่าง 38%
- สาหร่ายอบ 10%
- สาหร่ายเทมปุระ 7%
- ผลิตภัณฑ์อื่น เช่น ถั่วลายเสือแบรนด์ Wow Nut และร้านอาหาร 71 mookata 4%
และหากไปดูสัดส่วนรายได้ระหว่างขายในประเทศไทย กับส่งออกไปต่างประเทศ จะเป็นดังนี้
- ไทย 37.3%
- จีน 20.7%
- ประเทศอื่น ๆ เช่น อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศ CLMV 42%
จะเห็นได้ว่า เถ้าแก่น้อย มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ
ซึ่งถ้าหากเราลองวิเคราะห์ดูจากสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ ที่รวมกันแล้วสูงกว่าในไทยนี้ ก็อาจจะมองได้ว่า เถ้าแก่น้อย แบรนด์ขนมสาหร่ายของคนไทย มีความสามารถไปตีตลาดในต่างประเทศได้อย่างสบาย ๆ เลย
ทีนี้ลองมาดูผลประกอบการย้อนหลังกันบ้าง
ปี 2565 รายได้ 4,399 ล้านบาท กำไร 434 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 5,354 ล้านบาท กำไร 743 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 5,737 ล้านบาท กำไร 836 ล้านบาท
และล่าสุด ครึ่งปีแรก 2568 รายได้ 2,656 ล้านบาท กำไร 184 ล้านบาท
แต่รู้ไหมว่า นอกจากเถ้าแก่น้อยจะขายสินค้าที่ตัวเองเป็นเจ้าของแล้ว ก็ยังพยายามสร้างการเติบโต ผ่านกลยุทธ์ไปร่วมลงทุนกับบริษัทอื่น ๆ ด้วย
ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้ของเถ้าแก่น้อยในช่วงที่ผ่านมาก็เช่น..
- เปิดบริษัทร่วมทุนกับ MAJOR โดย TKN ถือหุ้น 51% และ MAJOR ถือหุ้น 49%
เพื่อประกอบธุรกิจผลิต จัดซื้อ และจัดจำหน่ายสินค้าประเภทข้าวโพดคั่ว แบบซองพร้อมรับประทาน ภายใต้ชื่อเครื่องหมายการค้า “Popcorn Major” และหรือเครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ
- เข้าไปถือหุ้นในบริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHAO จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2
- และล่าสุดเมื่อเร็ว ๆ นี้ TKN เพิ่งกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 5 ในบริษัท พรีเมียร์ มาร์เกตติ้ง หรือ PM ผู้ผลิตปลาเส้นทาโร ด้วยสัดส่วน 2% คิดเป็นมูลค่า 148 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า เถ้าแก่น้อยกำลังทำการกระจายความเสี่ยงออกจากการขายสาหร่าย ที่ควบคุมต้นทุนได้ยาก ด้วยการเข้าไปถือหุ้นบริษัทขนมขบเคี้ยวประเภทอื่น ๆ
แทนที่การผลิตและพัฒนาสินค้าเหล่านั้นทั้งหมดด้วยตัวเอง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่า
เพราะการออกแบรนด์ใหม่ให้ติดตลาดเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะถ้าสินค้าของแบรนด์นั้น มีเจ้าตลาดอยู่แล้ว
ทำให้ถ้าผลิตภัณฑ์ที่ออกมาไม่ประสบความสำเร็จ ก็เป็นเถ้าแก่น้อยเองที่ต้องเจ็บตัว
การออกสินค้าเองของเถ้าแก่น้อยในช่วงหลัง ๆ จึงต้องเน้นไปยังตลาดที่ไม่มีเจ้าตลาดชัดเจน เช่น แบรนด์ “ซูเปอร์กรุบ” เพื่อบุกตลาดขนมเส้นบุกหมาล่า เป็นต้น
ถึงตรงนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า การเข้าไปถือหุ้นกับเหล่าบริษัทขนมขบเคี้ยวแบรนด์ดังเหล่านี้ จะนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ หรือความร่วมมือใหม่ ๆ ในอนาคตอย่างไรอีกบ้าง
แต่ที่แน่ ๆ คือจากนี้เป็นต้นไป เงินทุกบาทที่เราซื้อขนมข้าวตังเจ้าสัว หรือปลาเส้นทาโร่
กำไรส่วนหนึ่งจะถูกนำมาจ่ายปันผลเข้าสู่กระเป๋าของเถ้าแก่น้อยไปเรื่อย ๆ เป็น Passive Income ..
Reference
-รายงานประจำปี 2567 บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)
-ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย