เจาะโมเดลธุรกิจ Buy Now Pay Later เจ้าของ Shopee ได้อะไร จากการให้คนไทย ผ่อนส้มตำ

เจาะโมเดลธุรกิจ Buy Now Pay Later เจ้าของ Shopee ได้อะไร จากการให้คนไทย ผ่อนส้มตำ

17 ก.ย. 2025
ก่อนหน้านี้ไม่แน่ใจว่ามีใครเคยคิดมาก่อนไหม ว่าอยากจ่ายค่าส้มตำด้วยการผ่อน 
เพราะแต่ก่อนถ้าเราพูดถึงการผ่อนสินค้า ส่วนมากก็จะนึกถึงการผ่อนของชิ้นใหญ่ ๆ อย่างโทรศัพท์ และทีวีมากกว่า 
แต่ด้วยการมาถึงของนวัตกรรม “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” หรือ Buy Now Pay Later ก็ทำให้วันนี้เราสามารถผ่อนจ่ายสินค้าชิ้นเล็ก ๆ ได้หลากหลาย 
ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หรือว่าจะเป็นค่าอาหารอย่างส้มตำสักจานได้แล้ว 
ถึงตรงนี้หลายคนน่าจะสงสัย ว่าผู้ให้บริการ Buy Now Pay Later จะได้อะไรบ้าง จากการให้คนในแพลตฟอร์มของตัวเอง ผ่อนจ่ายสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ ? 
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
ถ้าจะเข้าใจโมเดลธุรกิจของ Buy Now Pay Later เราต้องเข้าใจโมเดลธุรกิจของเงินผ่อนรุ่นพี่อย่าง “บัตรเครดิต” เสียก่อน 
โดยตัวละครในโมเดลธุรกิจนี้จะมี 5 คน ได้แก่ 
1. ลูกค้าที่เป็นคนถือบัตรเครดิต มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบัตร และเสียดอกเบี้ย
2. ธนาคารผู้ออกบัตรเครดิต เป็นคนเก็บค่าธรรมเนียมบัตรรายปี รวมทั้งดอกเบี้ย 
และยังมีอีกรายได้หนึ่งนั่นก็คือค่าธรรมเนียมที่เรียกว่า Interchange Fee 
ซึ่งเป็นส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมที่เรียกว่า MDR หรือ Merchant Discount Rate ที่ธนาคารผู้ออกเครื่องรูดบัตรเครดิต เก็บจากร้านค้าแล้วเอามาแบ่งให้
3. เครือข่ายการชำระเงิน เช่น Visa และ Mastercard ที่ได้ค่าธรรมเนียมเครือข่ายบัตร ซึ่งก็เป็นส่วนแบ่งมาจากค่าธรรมเนียม MDR เช่นกัน 
4. ธนาคารผู้ออกเครื่องรูดบัตรเครดิตให้ร้านค้า มีหน้าที่เก็บค่าธรรมเนียม MDR และหักเอาไว้กับตัวเองส่วนหนึ่ง 
5. ร้านค้า เป็นคนได้รับเงินของลูกค้า และมีหน้าที่จ่ายค่าธรรมเนียม MDR ให้กับธนาคารที่ออกเครื่องรูดบัตรเครดิต
และรู้หรือไม่ว่า คนที่จะได้ส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียม MDR มากที่สุด คือธนาคารผู้ออกบัตรเครดิต เพราะเป็นทั้งคนแบกรับความเสี่ยงที่ลูกค้าเบี้ยวหนี้ กับต้นทุนในการหาลูกค้า ดูแลลูกค้า และทำโปรโมชัน 
ทีนี้กลับมาที่โมเดลธุรกิจของผู้ให้บริการ Buy Now Pay Later อย่างเช่น บริษัท Sea Limited เจ้าของแพลตฟอร์ม Shopee ที่มีบริการ SPayLater ให้ใช้กันบ้าง
โมเดลธุรกิจ Buy Now Pay Later นี้ จะแตกต่างกันตรงที่ เมื่อ Shopee เป็นแพลตฟอร์ม e-Commerce ซึ่งจับลูกค้ากับร้านค้ามาเจอกันอยู่แล้ว 
ทำให้เมื่อเทียบกับโมเดลธุรกิจบัตรเครดิตที่พูดไปก่อนหน้านี้ 
Shopee ก็สามารถเป็นทั้งธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตที่เก็บดอกเบี้ยจากลูกค้า และธนาคารผู้ออกเครื่องรูดบัตรเครดิต ที่เก็บดอกเบี้ยจากร้านค้าได้เลยในคนเดียวกัน.. 
โดย Shopee ให้บริการ SPayLater ผ่านบริษัทที่ชื่อว่า บริษัท โมนี่ (แคปปิตอล) จำกัด 
หรือที่หลายคนอาจจะคุ้นกับชื่อเดิมมากกว่าอย่าง บริษัท ซีมันนี่ (แคปปิตอล) จำกัด ที่ได้รับใบอนุญาตสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลรายแรกของไทย จากธนาคารแห่งประเทศไทย 
และผ่าน บริษัท ยูนิคอร์น (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สินเชื่อภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ตรงนี้เองที่แพลตฟอร์ม Shopee จึงเป็นเหมือนผู้ออกสินเชื่อให้กับลูกค้าเอาเงินไปใช้ก่อนผ่าน SPayLater 
และเก็บดอกเบี้ยจากการผ่อนสินค้าตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป รวมทั้งดอกเบี้ยและค่าปรับจากการผิดนัดชำระ คล้ายกันกับธนาคารออกบัตรเครดิต
ส่วนในด้านของร้านค้า ทาง Shopee ก็จะมีการเก็บเงินค่าธรรมเนียมจากร้านค้าที่มีบริการ SPayLater ประมาณ 4.5%
ซึ่งถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับค่าธรรมเนียม MDR ซึ่งธนาคารเก็บจากร้านค้า จะอยู่ที่ประมาณ 1.6% ถึง 2.4% เท่านั้น 
ถ้าหากถามว่าทำไมร้านค้าบน Shopee ถึงยอมให้เก็บค่าธรรมเนียมมากขนาดนี้ ? 
คำตอบก็คือ การมี SPayLater ให้ลูกค้าใช้ ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก 
โดยทาง Shopee มาเลเซียเอง ก็ได้มีการเปิดเผยข้อมูลว่า ร้านค้าที่ใช้ SPayLater มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 20% 
จากทั้งหมดนี้ ก็ทำให้เราสรุปได้อีกครั้งว่า สิ่งที่ทาง Shopee จะได้จากการให้ผู้คนบนแพลตฟอร์ม ผ่อนจ่ายสินค้าด้วย SPayLater ก็คือ
- ดอกเบี้ยที่ได้จากการผ่อนชำระสินค้า รวมทั้งดอกเบี้ยและค่าปรับจากการผิดนัดชำระ
- ค่าธรรมเนียมจากร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการ SPayLater
ในปัจจุบันนี้ธุรกิจการเงิน ซึ่งรวมบริการ SPayLater ถือเป็นส่วนธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดของ Sea Limited เจ้าของแพลตฟอร์ม Shopee และ Garena 
โดยจากข้อมูลผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2568 ของ Sea Limited ได้แสดงให้เห็นว่า รายได้ของธุรกิจการเงิน ในช่วง 5 ปีย้อนหลังมานี้ เติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 11.2% เลย
อีกทั้งในด้านของผู้ใช้งาน เพียงแค่ในไตรมาส 2 ปี 2568 ก็มีผู้ใช้งาน SPayLater หน้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านคนเลย โดยหลัก ๆ แล้วผู้ใช้งาน SPayLater จะมาจาก อินโดนีเซีย, ไทย และมาเลเซีย 
ส่วนอัตราส่วนหนี้เสีย ซึ่งวัดจากคนที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ใน 90 วัน ก็มีสัดส่วนอยู่ที่ 1% เท่านั้น และลดลงมาจาก 5 ปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 1.3% 
ซึ่งน่าจะมาจากมาตรการของ Shopee ที่ให้วงเงิน SPayLater น้อย ๆ ก่อน และถ้าหากใครมีประวัติการชำระที่ดีก็ค่อยเพิ่มวงเงินให้ทีหลัง 
อย่างไรก็ตาม แม้ในปัจจุบันนี้ อัตราส่วนหนี้เสียของ SPayLater จะยังน้อยอยู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าอัตราส่วนหนี้เสีย จะต่ำอยู่แบบนี้ไปตลอด 
เพราะเพียงแค่หนี้สินจากการผ่อนสินค้าราคาไม่แพง แต่เมื่อใช้ Buy Now Pay Later จนเพลิน 
หนี้สินเล็ก ๆ หลายอันรวมกัน ผนวกกับพลังของดอกเบี้ยทบต้น ก็สามารถทำให้คนที่เคยชำระหนี้ได้เป็นอย่างดี หมุนเงินไม่ทันได้เหมือนกัน 
ทำให้ถ้าถึงวันที่ผู้กู้ส่วนใหญ่ ประสบปัญหาทางการเงิน จนไม่สามารถจ่ายหนี้ Buy Now Pay Later ได้
เราก็อาจจะได้เห็นกฎระเบียบหรือมาตรการใหม่ ๆ ที่เข้มงวดขึ้น ทั้งจากตัวแพลตฟอร์มและภาครัฐก็เป็นได้.. 
#ธุรกิจ
#โมเดลธุรกิจ
#SPayLater
References 
-เอกสาร Presentation Q2 2025 Result ของบริษัท Sea Limited 
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.