6 เรื่องที่ต้องรู้ สำหรับมือใหม่ที่อยากลองใช้ Options ครบจบในโพสต์เดียว

6 เรื่องที่ต้องรู้ สำหรับมือใหม่ที่อยากลองใช้ Options ครบจบในโพสต์เดียว

22 ก.ย. 2025
ในปัจจุบันมีโบรกเกอร์ในไทยหลายราย เริ่มเสนอเครื่องมือทางการเงินตัวใหม่ที่เรียกว่า Options มาใช้สำหรับลงทุนในหุ้นต่างประเทศกันมากขึ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นไทยเอง ก็มี Options มานานหลายปี แต่นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ก็อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับเครื่องมือทางการเงินตัวนี้มากเท่าไรนัก
หรือบางคนลองซื้อไปแล้ว กลับพบว่าเงินทั้งก้อนที่นำไปซื้อ Options หายไปเป็น 0 ได้ง่าย ๆ เลย
เรียกได้ว่า ถ้าไม่ศึกษาวิธีการใช้งาน Options ให้ดี ๆ เราจะเสียเงินไปได้อย่างรวดเร็วเลย 
ในขณะเดียวกันถ้าเราศึกษามันอย่างดี Options ก็มีประโยชน์อย่างมาก ไม่ว่าจะถูกใช้เพื่อเก็งกำไร หรือเพื่อบริหารความเสี่ยง
แล้วมีเรื่องอะไรที่เราต้องรู้บ้าง ถึงสามารถใช้งาน Options ได้อย่างปลอดภัย ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
1. Options ในตลาดหุ้นไทย และ Options ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็น Options คนละประเภทกัน
โดยเราต้องเข้าใจก่อนว่า Options นั้น มีอยู่ 2 ประเภทคือ European Options ที่จะบังคับให้ผู้ถือ Options ใช้สิทธิได้เฉพาะวันหมดอายุสัญญา Options
ส่วน American Options จะมีความยืดหยุ่นกว่าตรงที่ผู้ถือ Options ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันหมดอายุสัญญาก็สามารถใช้สิทธิได้
ซึ่ง Options ในตลาด TFEX ของไทยจะเป็นแบบ European Options แต่ Options ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเป็นแบบ American Options ตามชื่อ
ทำให้ฝั่งผู้ขาย Options แบบ European Options ได้เปรียบกว่าผู้ขาย Options แบบ American Options ในเรื่องความเสี่ยงที่จะโดนเคลมสิทธิจากคู่สัญญา
2. การทำกำไรจาก Options ไม่ใช่แค่เดาว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง แต่ต้องเข้าซื้อ Options ในราคาที่เหมาะสมด้วย  
ซึ่งค่า Premium ที่เป็นราคา Options ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทิศทางของสินทรัพย์อ้างอิงเพียงอย่างเดียว แต่ยังสัมพันธ์กับสิ่งที่เรียกว่า “ความผันผวน” ด้วย
อธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่า ในแต่ละช่วงเวลา หุ้นจะมีความผันผวนไม่เท่ากัน บางช่วงที่ไม่มีข่าวอะไร ก็จะมีความผันผวนต่ำ
แต่หากช่วงไหนมีข่าว เช่น ประกาศผลประกอบการ ประกาศออกสินค้าใหม่ ประกาศเข้าซื้อกิจการ ก็มักจะเป็นช่วงที่หุ้นมีความผันผวนสูง
เมื่อไรก็ตามที่มีความผันผวนสูง ราคา Options ก็มักจะสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะผู้ซื้อ Options มีโอกาสที่จะใช้สิทธิสูง
ขณะที่เมื่อความผันผวนต่ำ ราคา Options ก็มักจะมีราคาถูกลงมา เพราะผู้ซื้อ Options มีโอกาสใช้สิทธิต่ำกว่า
โดยนักลงทุนสามารถดูได้ว่าความผันผวนที่ใช้คำนวณราคา Options มีค่าเท่าไร จาก Implied Volatility (IV) บน Options Chain ซึ่งเป็นตารางบอกราคาซื้อขาย Options
ซึ่งหลักการที่บอกว่า ราคา Options จะแพงหรือถูกนั้น ขึ้นอยู่กับความน่าจะเป็นที่ผู้ซื้อ Options มีโอกาสใช้สิทธิ สามารถใช้ได้กับปัจจัยเรื่อง ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) และ อายุสัญญาคงเหลือด้วย
3. Options แบบ In The Money จะมีราคาแพงกว่า Options แบบ Out of The Money
ถ้า Call Options ของเรามี Strike Price ที่ 10 บาท ขณะที่ราคาหุ้นอ้างอิงอยู่สูงกว่า 10 บาท เราเรียกสัญญา Options แบบนี้ว่า Options แบบ In The Money แปลว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้ซื้อ Options สามารถใช้สิทธิแล้วได้กำไร
อย่างไรก็ตาม ผู้ถือ Options ส่วนใหญ่จะเริ่มใช้สิทธิเมื่อถึงจุดคุ้มทุน (Break Even) มีสูตรคือ Strike Price + Options Premium (ราคา Options)
เช่น ถ้าเราซื้อ Call Options ที่มี Strike Price 10 บาทต่อหุ้น ในราคา Options 1 บาทต่อหุ้น แปลว่า Break Even ของเราคือราคา 11 บาทขึ้นไป เราถึงจะมีกำไรจากการใช้สิทธิ Options
แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่ราคาหุ้นอ้างอิงต่ำกว่า 10 บาท เราจะเรียก Call Options สัญญานี้ว่า Out of The Money ทันที แปลว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้ซื้อ Options ใช้สิทธิแล้วจะขาดทุน
ส่วนถ้าราคาหุ้นอ้างอิงอยู่ที่ 10 บาท เท่ากันกับราคา Strike Price เราจะเรียกสัญญา Options ว่า At The Money
ส่วน Put Options ถ้ามี Strike Price ที่ 10 บาท แล้วราคาหุ้นอ้างอิงอยู่ต่ำกว่า 10 บาท เราเรียกสัญญา Options นี้ว่าสัญญาแบบ In The Money แปลว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้ซื้อ Options สามารถใช้สิทธิแล้วได้กำไร
ซึ่งสูตร Break Even ของ Put Options จะต่างจากของ Call Options นิดหน่อย โดยมีสูตรคือ Strike Price - Options Premium (ราคา Options) 
เช่น ถ้าเราซื้อ Put Options ที่มี Strike Price 10 บาทต่อหุ้น ในราคา Options 1 บาทต่อหุ้น แปลว่า Break Even ของเราคือราคา 9 บาทลงมา เราถึงจะมีกำไรจากการใช้สิทธิ Put Options
ส่วนถ้าราคาหุ้นอ้างอิงอยู่สูงกว่าราคา Strike Price 10 บาท เราจะเรียก Put Options สัญญานี้ว่า Out of The Money
ซึ่งในเมื่อใคร ๆ ก็อยากลงทุนแล้วได้กำไร Options ที่ In The Money ซึ่งสามารถใช้สิทธิแล้วได้กำไรเลย จึงเป็นที่ต้องการจนมีค่า Premium ที่แพงกว่านั่นเอง
4. Options ที่ใกล้หมดอายุ จะถูกกว่า Options ที่มีอายุมากกว่า
เพราะมูลค่าของ Options จะถูกกำหนดด้วย 2 ส่วนคือ Intrinsic Value ที่เป็นมูลค่าในตัวเองของ Options จากสถานะ In The Money หรือ Out of The Money ต่าง ๆ 
โดย Intrinsic Value ของ Call Options มีสูตรคือ ราคาหุ้นอ้างอิง - Strike Price
ส่วน Intrinsic Value ของ Put Options มีสูตรคือ Strike Price - ราคาหุ้นอ้างอิง
และ Extrinsic Value ที่มาจากปัจจัยภายนอก เช่น มูลค่าเวลา หรือ Time Value และความผันผวน หรือ Implied Volatility ที่อธิบายไปแล้ว 
ทีนี้เมื่อ Options มีอายุและเวลาใช้สิทธิเหลือไม่มาก ก็ทำให้ส่วนของ Extrinsic Value เหลือน้อย Options ที่มีอายุสั้นจึงราคาถูกกว่า Options ที่อายุยาว
ให้คิดง่าย ๆ ว่า ถ้า Options มีอายุเหลือมาก แปลว่า ผู้ถือ Options ที่มีอายุยาว ก็มีโอกาสให้ใช้สิทธิเยอะกว่า Options ที่ใกล้จะหมดอายุ
ซึ่งมูลค่า Options จะมีมูลค่าลดลงไปตามกาลเวลา แต่ที่น่าสนใจก็คือ มูลค่าทางเวลาของ Options จะไม่ได้ลดลงไปเท่ากันทุกวัน
แต่ยิ่งใกล้วันหมดอายุสัญญามากเท่าไร มูลค่าทางเวลาของสัญญา Options ก็จะหายไปแบบอัตราเร่งเลย
5. ควรหลีกเลี่ยง Options ที่เหลืออายุสัญญาแค่ 1 เดือน
อย่างที่บอกไปในข้อที่แล้วว่า มูลค่าทางเวลาของสัญญา Options จะหมดอายุแบบอัตราเร่ง 
โดยเฉพาะช่วง 30 วันสุดท้ายของอายุ Options จะเป็นช่วงเวลาที่มูลค่าทางเวลาจะลดลงเร็วที่สุด
หมายความว่า ถ้าเราเก็งผิดทาง แล้วถือ Options ไว้จนครบอายุสัญญา มูลค่า Options ที่เราถืออยู่ก็จะกลายเป็น 0 ทันที
แต่ถ้าเราถูกทาง ก็ต้องรอลุ้นว่า Intrinsic Value ของ Options จะมากกว่า Options Premium ที่เราจ่ายไปมากน้อยแค่ไหน
6. หลีกเลี่ยง Options ของหุ้นขนาดเล็ก 
เนื่องจาก Options ของหุ้นขนาดเล็กที่มีมูลค่าบริษัทต่ำกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 32,000 ล้านบาท มักจะไม่ค่อยมีใครซื้อขาย
ทำให้ช่องว่างระหว่างราคาเสนอซื้อ และเสนอขาย (Bid Ask Spread) ค่อนข้างกว้าง 
เมื่อเราซื้อหรือขาย Options ในภาวะแบบนี้ เรามักจะไม่ได้ราคาที่ดีที่สุด ซึ่งอาจส่งผลให้ได้กำไรน้อยกว่าที่ควรจะเป็น หรืออาจจะขาดทุนก็เป็นไปได้เหมือนกัน
จะเห็นได้ว่าการใช้ Options ให้ได้กำไร หรือขาดทุน ไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่ความสามารถในการเดาทิศทางราคาหุ้นเพียงอย่างเดียว 
แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อราคา Options อีกด้วย เช่น ความผันผวน, อายุคงเหลือของ Options, สภาพคล่อง และราคาใช้สิทธิ
ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้การใช้งาน Options มีความซับซ้อนมากกว่าการลงทุนในหุ้นหรือสัญญา Futures ค่อนข้างมาก
แต่ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ก็เชื่อว่า หลายคนน่าจะมีความรู้พื้นฐานในการเลือก Options ให้ปลอดภัยกันมากขึ้นบ้างแล้ว
ซึ่งถ้าใครอยากจะใช้ Options ให้เก่ง ๆ ก็ต้องหาความรู้เพิ่มเติม และสั่งสมประสบการณ์ให้มาก ๆ เพราะเนื้อหาในบทความนี้เป็นเพียงความรู้ขั้นพื้นฐานเท่านั้น
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ รู้ไหมว่า Warren Buffett เอง ก็ใช้ Options ในการหาประโยชน์จากการลงทุนระยะยาวของเขาด้วยเช่นกัน
โดยการขาย Put Options บนหุ้นที่เขาเล็งที่จะเข้าซื้อไว้ เมื่อมีคนมาใช้สิทธิ Put Options ที่ Warren Buffett ขาย 
เขาก็จะเข้าไปรับซื้อหุ้นตัวนั้น
แถมการขาย Put Options ยังทำให้เขาได้รับเงินค่า Premium ด้วย 
ทำให้เมื่อหักลบกันแล้ว ต้นทุนการซื้อหุ้นโดยรวมของเขาจึงถูกกว่าการนั่งเฉย ๆ รอราคาหุ้นลงนั่นเอง..
#ลงทุน
#Options
#นักลงทุนมือใหม่
References
- หนังสือ Buy and Hedge : The 5 Iron Rules for Investing Over the Long Term เขียนโดย Pestrichelli, Jay และ Ferbert, Wayne
- หนังสือ The Bible of Options Strategies เขียนโดย Guy Cohen
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.