
High Frequency Trading คือตัวร้าย ทำลายตลาดหุ้นไทย จริงหรือไม่ ?
30 พ.ค. 2025
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีการเรียกร้องให้ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาตรการในการควบคุมการใช้ High Frequency Trading (HFT) หรือการซื้อขายหุ้นด้วยความเร็วสูงจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์
เพราะนักลงทุนหลายคนมองว่า การส่งคำสั่งซื้อขายจาก HFT จะทำให้นักลงทุนรายย่อยเสียเปรียบ และยังได้มีการกล่าวอ้างว่า มีการใช้ HFT ทำ Naked Short หรือการขายชอร์ตหุ้น โดยไม่มีหุ้นนั้นอยู่ในมือจริง ๆ
แต่ถ้าหากเรามองอีกมุมหนึ่งแล้ว การห้ามใช้ HFT อาจไม่ได้เป็นผลดีอย่างที่ใครหลายคนคิด ตรงกันข้าม การห้ามไม่ให้ใช้งาน HFT อาจจะมีผลเสียต่อตลาดหุ้นไทย มากกว่าให้ผลดีด้วยซ้ำ
แล้วการแบน HFT อาจจะมีผลเสียอะไรตามมาบ้าง ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
รู้ไหมว่าในปี 2022 ปริมาณการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นแบบ HFT คิดเป็น 50% ของมูลค่าซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ส่วนประเทศไทยมีปริมาณการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นแบบ HFT คิดเป็นเพียง 9% ของมูลค่าซื้อขายในตลาดหุ้นไทย
และในจำนวน 9% นี้ เป็นการส่งคำสั่งซื้อขายในหุ้นขนาดใหญ่ ที่อยู่ในดัชนี SET100 ถึงกว่า 80%
คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วการใช้ HFT เป็นผู้ร้าย ที่กำลังทำลายตลาดหุ้นไทย เหมือนที่นักลงทุนหลายคนกำลังเข้าใจผิด จริงไหม ?
เรื่องนี้ก็ต้องย้อนกลับมาดูกันว่า หุ้นกลุ่มไหนในตลาดหุ้นไทยที่ราคาลดลงหนักที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา
ดัชนี SET100 ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทใหญ่ที่สุด 100 อันดับแรกของไทย ปรับตัวลดลง 30%
ดัชนี sSET ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้นที่อยู่ใน SET Index แต่ขนาดเล็กกว่าหุ้นในดัชนี SET100 ปรับตัวลดลง 50%
ดัชนี mai ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทขนาดเล็กลงมาอีก ปรับตัวลดลง 65%
จะเห็นได้ว่าหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีการส่งคำสั่งซื้อขายแบบ HFT ราคากลับไม่ได้ปรับตัวลดลงมากขนาดนั้น
ส่วนหุ้นขนาดเล็ก ที่แทบจะไม่มีการส่งคำสั่งซื้อขายด้วย HFT เลย กลับปรับตัวลดลงไปเยอะกว่ามาก
จะเห็นได้ว่า HFT นั้น เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดหุ้นไทยอยู่
และส่วนมากแล้วการส่งคำสั่งซื้อขายแบบ HFT เป็นการส่งคำสั่งซื้อขายเพื่อกินส่วนต่างราคาในระยะสั้น ๆ เท่านั้น นักลงทุนที่ลงทุนระยะยาวจึงไม่ได้เสียเปรียบ HFT เลย
กลับกันนักลงทุนที่ส่งคำสั่งซื้อขายแบบ HFT มักจะเป็นนักลงทุนสถาบันจากต่างชาติที่มีกลยุทธ์เรียกว่า Statistical Arbitrage
โดยเป็นการทำกำไรจากความไม่สอดคล้องกันระหว่างราคาหุ้น และราคา Futures ที่อ้างอิงหุ้นตัวนั้น โดยกองทุน HFT พวกนี้ก็จะขายสินทรัพย์ที่ราคาสูง และซื้อสินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่า
เมื่อราคากลับมาสอดคล้องกัน กองทุนพวกนี้ก็จะปิดสถานะอย่างรวดเร็ว
กลยุทธ์แบบนี้ช่วยขจัดความไม่มีประสิทธิภาพของตลาดหุ้นได้อย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนระยะยาวสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาที่ดีที่สุด
ซึ่งการออกกฎระเบียบควบคุมการใช้งาน HFT ให้มีข้อจำกัดมาก อาจทำให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติย้ายเงินลงทุนออกไปลงทุนในประเทศที่มีกฎระเบียบน้อยกว่า
และจะส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยลดลงอย่างน่าใจหาย
จากนั้นเมื่อสภาพคล่องลดลง สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ การปรับลดน้ำหนักหุ้นไทย ในการคำนวณดัชนีของ MSCI
โดยเกณฑ์ที่ MSCI ใช้ในการปรับน้ำหนักการคำนวณดัชนี MSCI Emerging Markets Index คือ
1. สภาพคล่อง
2. ขนาดตลาด
3. ข้อจำกัดในการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ
จะเห็นได้ว่าสภาพคล่อง เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดน้ำหนักหุ้นไทยในดัชนีระดับโลก
หากตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องที่น้อยลง ก็จะทำให้ MSCI ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี MSCI Emerging Markets ซึ่งเป็นดัชนีตัวแทนของกลุ่มตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนา เช่น จีน ไต้หวัน อินเดีย และไทย
เนื่องจากเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อนี้ มีขึ้นเพื่อตรวจสอบดูว่า ตลาดหุ้นในแต่ละประเทศ มีเงื่อนไขที่เอื้อต่อการลงทุนของนักลงทุนสถาบันต่างชาติหรือไม่
โดย MSCI จะพิจารณาปรับน้ำหนักการลงทุนไตรมาสละครั้ง หรือทุกครึ่งปี เพื่ออัปเดตให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าตลาดหุ้นในแต่ละประเทศ
และเมื่อหุ้นไทย ถูกลดน้ำหนักในดัชนี MSCI Emerging Markets ลง ก็จะส่งผลให้กองทุนอิงดัชนีของสถาบันการเงินระดับโลกที่มีเม็ดเงินลงทุนหลักล้านล้านบาท
ไม่ว่าจะเป็น BlackRock, Vanguard, Morgan Stanley หรือ UBS ก็มีแนวโน้มที่จะเทขายหุ้นไทย เพื่อลดสัดส่วนให้สอดคล้องกับน้ำหนักของดัชนี MSCI ที่หลายกองทุนใช้เป็นดัชนีอ้างอิงของกองทุน
ซึ่งเราก็คงได้เห็นกันแล้วว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มนักลงทุนต่างชาติ เป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีการขายหุ้นไทยออกมามากที่สุด
ขณะที่ทางเลือกในการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยในประเทศก็มีมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ทั้งการเปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศที่ง่ายขึ้น และการมีสินทรัพย์ทางเลือกอย่างสกุลเงินดิจิทัล
ก็ยิ่งลดความน่าสนใจของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเข้าไปอีก และทำให้สภาพคล่องในตลาดหุ้นไทย ลดน้อยลงไปด้วย
ดังนั้นการมองว่า HFT เป็นผู้ร้ายหนึ่งเดียวที่ทำลายตลาดหุ้นไทย และออกกฎระเบียบที่เข้มงวดมากเกินไป ก็จะยิ่งเป็นปัจจัยซ้ำเติมให้ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องที่ลดลงไปเรื่อย ๆ
แน่นอนว่า HFT ไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบ และต้องมีการกำกับดูแลที่เหมาะสม
แต่การปฏิเสธการใช้งานเทคโนโลยีต่างหาก ที่กำลังทำให้ตลาดหุ้นไทยก้าวถอยหลัง ขณะที่ตลาดหุ้นประเทศอื่น ๆ กำลังก้าวไปข้างหน้า
เรื่องนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์เมื่อ 100 ปีก่อน ที่แรก ๆ รถเริ่มวิ่งไปมาบนถนน ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการต่อต้านจากผู้คนมากมาย
หลายคนมองว่ารถยนต์เป็นสิ่งอันตราย จากการขับที่รวดเร็ว ซึ่งอาจจะไปชนคนอื่น หรือทำให้เกิดอุบัติเหตุ
ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว รถยนต์ช่วยให้การเดินทางสะดวกรวดเร็วขึ้นมาก
เพียงแต่ว่าในตอนแรกที่ไม่มีกฎระเบียบควบคุม จึงดูเหมือนเป็นสิ่งที่มีโทษมาก แต่หลังจากที่มีกฎหมายจราจรตามมา และทำให้การขับรถยนต์ปลอดภัยขึ้น
ก็ทำให้ผู้คนเห็นประโยชน์ของรถยนต์ จนในวันนี้การขับรถยนต์ก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนทำกันในชีวิตประจำวันทั่วไป แทนการขี่ม้าไปไหนมาไหน
ในช่วงเวลานี้ จึงเป็นวินาทีสำคัญ ที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายในตลาดหุ้นไทยต้องกลับมาตั้งคำถามว่า
“เราจะเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ หรือจะปฏิเสธมันจนกระทั่งตกยุคล้าหลัง เหมือนคนขี่ม้าเมื่อ 100 ปีก่อน ?”
#ลงทุน
#หุ้นไทย
#HFT
References