
ปรากฏการณ์ Forced Sell ตัวร้าย ทำลายตลาดหุ้นไทย
24 มิ.ย. 2025
ประเด็นร้อนแรงที่เกิดขึ้นในวงการตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ คือ การที่หุ้นหลาย ๆ ตัวร่วงลงไปติด Floor พร้อม ๆ กัน
ไม่ว่าจะเป็น..
-บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC
-บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC
-บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG
และหุ้นอื่น ๆ อีกหลายตัว
ซึ่งตัวร้ายที่หลาย ๆ คน คาดการณ์ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้
หุ้นเหล่านี้ร่วงกันระนาว นั่นคือ การถูก Forced Sell
Forced Sell คืออะไร และรายละเอียดเบื้องหลังของเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอย่างไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า Forced Sell คืออะไร เรามาทำ
ความรู้จักกับประเภทบัญชีมาร์จิน หรือที่เรียกอีกชื่อว่า บัญชี Credit Balance กันก่อน
บัญชีมาร์จิน เป็นบัญชีที่โบรกเกอร์เปิดเพื่อให้สินเชื่อ
กับนักลงทุนในการซื้อหุ้น
โดยนักลงทุนจะจ่ายเงินซื้อหุ้นเองส่วนหนึ่ง และอีกส่วน
ที่เหลือจะเป็นการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์
ซึ่งก่อนซื้อหุ้น นักลงทุนจะนำเงินสด หรือหุ้น มาวางเป็น
หลักประกันสำหรับชำระหนี้ ตามสัดส่วนที่โบรกเกอร์
กำหนด
โดยสัดส่วนที่ต้องวางหลักประกัน จะถูกกำหนดจากหุ้น
แต่ละเกรดที่ต้องการซื้อ เช่น
หุ้นเกรด A วางหลักประกัน 50% กู้ได้ 50%
หุ้นเกรด B วางหลักประกัน 60% กู้ได้ 40%
หุ้นเกรด C วางหลักประกัน 70% กู้ได้ 30%
หุ้นเกรด D วางหลักประกัน 80% กู้ได้ 20%
เพื่อให้เห็นภาพ เราลองมาดูตัวอย่างกัน
สมมติว่า เราต้องการซื้อหุ้น ABC มูลค่า 100,000 บาท
โดยการวางเงินสดส่วนหนึ่ง และกู้เงินอีกส่วนหนึ่ง
ซึ่งหุ้น ABC ถูกจัดอยู่ในหุ้นเกรด A
เรานำเงินสดมาวางเป็นหลักประกัน 50,000 บาท
และกู้เงินจากโบรกเกอร์ 50,000 บาท
หากราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเราขายหุ้น เราก็ต้องคืน
ในส่วนที่กู้มา 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
แต่ในทางกลับกัน หากราคาหุ้นลดลง จนมูลค่า
หลักประกันของเราต่ำกว่า 35% เราจะเจอกับสถานการณ์ที่เรียกว่า “Margin Call”
นั่นคือ การที่โบรกเกอร์ให้เรานำเงินสด หรือหุ้น
มาวางเป็นหลักประกันเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้มูลค่าหลักประกันต่ำกว่าอัตราหลักประกันที่กำหนดไว้
สมมติว่า ราคาหุ้นลดลงจนมูลค่าหุ้นเหลือ 75,000 บาท
หักหนี้สินที่เรากู้จากโบรกเกอร์ 50,000 บาท
จะเหลือมูลค่าหลักประกันของเรา 25,000 บาท
ซึ่งมูลค่าหลักประกัน 25,000 บาท คิดเป็น 33.33%
ของมูลค่าหุ้นปัจจุบัน (75,000 บาท)
ซึ่งต่ำกว่าอัตราหลักประกันที่กำหนดไว้ที่ 35%
หมายความว่า เราต้องนำเงินสด หรือหุ้น มาวางเป็นหลักประกันเพิ่มเติมอย่างน้อย 1,250 บาท เพื่อรักษามูลค่าหลักประกัน ไม่ให้ต่ำกว่าอัตราหลักประกันที่กำหนด
แต่หากเราไม่วางหลักประกันเพิ่มภายในระยะเวลาที่โบรกเกอร์กำหนด ขณะที่ราคาหุ้นยังปรับตัวลงต่อถึงจุดหนึ่ง โบรกเกอร์ก็มีสิทธิบังคับขายหุ้นได้ทุกราคา
การถูกบังคับขายหุ้นแบบนี้ ก็คือการถูก Forced Sell
ที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ นั่นเอง
ถึงตรงนี้ ก็พอจะเห็นภาพของการถูก Forced Sell
กันบ้างแล้ว
มาต่อกันที่ประเด็นถัดมาว่า ทำไมการถูก Forced Sell
ถึงถูกคาดการณ์ว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้หุ้นหลาย ๆ ตัว
ได้รับแรงเทขายอย่างหนักหน่วงในช่วงนี้
ก็เพราะว่า หุ้นที่ปรับตัวลงแรงส่วนใหญ่ มีจำนวนหุ้นที่ถูกใช้เป็นหลักประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิน คิดเป็นสัดส่วนที่สูง เมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท
ตัวอย่างเช่น หุ้น KTC มีจำนวนหุ้นที่ถูกใช้เป็นหลักประกันที่สูงถึง 16.30% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท หุ้น BEC สัดส่วน 16.02% และหุ้น XPG สัดส่วน 13.49%
ด้วยความที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง จึงส่งผลทำให้มูลค่าหลักประกันในบัญชีมาร์จินลดลงตามไปด้วย
เมื่อมูลค่าหลักประกันลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนด
หากเจ้าของหุ้นไม่นำเงินมาวางเป็นหลักประกันเพิ่ม
หุ้นที่ถูกวางเป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จินก็มีความเสี่ยงที่จะถูกบังคับขาย หรือ Forced Sell ตามไปด้วย
ซึ่งหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้ ไม่ใช่แค่มีสัดส่วนการใช้เป็นหลักประกันสูงเท่านั้น แต่ยังมีหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ร่วมกันด้วย
ก็อาจเป็นไปได้ว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนนี้ถือหุ้นเหล่านี้ไว้ในพอร์ตหุ้นเดียวกัน และใช้มาร์จินซื้อหุ้นเหล่านี้ด้วย
เพราะหากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมูลค่าหุ้นลดลง จนทำให้มูลค่าหุ้นในพอร์ตรวมลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนด โบรกเกอร์ก็อาจทยอยขายหุ้นตัวอื่น ๆ ในพอร์ตออกมาด้วย เพื่อลดความเสี่ยงของระบบโดยรวม
เพราะหากเราลองสังเกตดี ๆ ยังมีหุ้นอีกหนึ่งตัวที่แม้ว่าสัดส่วนการวางหุ้นเป็นหลักประกันไม่ได้สูงเลย แค่ 1.9% แต่เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนเดียวกันนี้ถืออยู่ หุ้นตัวนั้นก็ร่วงลงมาติด Floor ด้วยเช่นกัน
นั่นหมายความว่า การร่วงลงของหุ้นตัวแรกอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของโดมิโน ที่ลากให้หุ้นตัวอื่น ๆ ในพอร์ตให้ถูกบังคับขายตามไปด้วย
จนทำให้หุ้นเหล่านี้ร่วงติด Floor ไปตาม ๆ กัน
เมื่อถูก Forced Sell แล้ว ก็อย่างที่เราทราบกันตอนแรกว่า โบรกเกอร์สามารถบังคับขายหุ้นได้ทุกราคา ซึ่งนั่นก็จะเป็นตัวซ้ำเติมราคาหุ้นให้ร่วงรุนแรงขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ในสภาพตลาดหุ้นที่ซบเซา มูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง รวมถึงหลายปัจจัยลบที่กดดัน
สภาพตลาดแบบนี้ก็ไม่ได้กระทบกับแค่ผู้ถือหุ้นใหญ่รายนี้เท่านั้น ยังมีหุ้นตัวอื่น ๆ อีกหลายตัวที่ราคาร่วงติด Floor ด้วยเช่นกัน
นั่นจึงทำให้การลงทุนในช่วงตลาดผันผวนแบบนี้ หากนักลงทุนถือหุ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ก็อย่าลืมตรวจสอบว่า หุ้นที่เราถืออยู่นั้น ถูกวางเป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จินมากแค่ไหน
เพื่อจะได้เตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที..
#ลงทุน
#หุ้นไทย
#ForcedSell
References