เมื่อพูดถึงอาชญากรรมทางการเงินแล้ว หลาย ๆ คนมักจะคิดถึง
คดีแชร์ลูกโซ่ อย่างเช่น แชร์แม่ชม้อย หรือ Forex 3D
ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท และทำให้ผู้คนหมดตัวไปมาก

รู้จัก Alves Reis ชายผู้โกงสุด ในประวัติศาสตร์ โปรตุเกส
17 ต.ค. 2022
แต่รู้หรือไม่ว่าหนึ่งในอาชญากรรมทางการเงิน ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
เกิดจากความคิดของชายชื่อ Alves dos Reis ซึ่งทำการหลอก หน่วยงานทางการเงิน ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
อย่างธนาคารกลางโปรตุเกส จนสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของประเทศโปรตุเกส
ที่กำลังย่ำแย่อยู่ในขณะนั้น จนแทบจะพังทลายเลยทีเดียว
เกิดจากความคิดของชายชื่อ Alves dos Reis ซึ่งทำการหลอก หน่วยงานทางการเงิน ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
อย่างธนาคารกลางโปรตุเกส จนสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของประเทศโปรตุเกส
ที่กำลังย่ำแย่อยู่ในขณะนั้น จนแทบจะพังทลายเลยทีเดียว
และถ้าหากคุณสงสัยว่านาย Reis เป็นใคร และเขามีวิธีการอย่างไร
ในการโกงที่ร้ายแรงที่สุด ในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ?
BillionMoney จะย่อยให้เข้าใจ
ในการโกงที่ร้ายแรงที่สุด ในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ?
BillionMoney จะย่อยให้เข้าใจ
นาย Alves dos Reis เกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงาน กลางกรุงลิสบอน
เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกส ในปี 1896 ก่อนจะเติบโตมา และเข้าเรียนในสาขาวิศวกรรมศาสตร์
แต่เมื่อเรียนไปสักพัก นาย Reis ก็ตัดสินใจลาออก
เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกส ในปี 1896 ก่อนจะเติบโตมา และเข้าเรียนในสาขาวิศวกรรมศาสตร์
แต่เมื่อเรียนไปสักพัก นาย Reis ก็ตัดสินใจลาออก
ซึ่งหลังจากลาออก เขาก็ได้กลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร เพราะได้แต่งงานกับหญิงชนชั้นสูง
แต่ด้วยการกดดันจากพ่อตา ที่ไม่ชอบเขาตั้งแต่แรก จากสถานะทางสังคมที่แตกต่างกัน
แต่ด้วยการกดดันจากพ่อตา ที่ไม่ชอบเขาตั้งแต่แรก จากสถานะทางสังคมที่แตกต่างกัน
เขาจึงตัดสินใจพาภรรยา หนีไปสร้างเนื้อสร้างตัวที่แองโกลา อาณานิคมของโปรตุเกส ในแอฟริกา ในปี 1916 โดยเข้าทำงานในตำแหน่ง วิศวกรอาวุโส ของบริษัท Angolan Railways ด้วยวุฒิการศึกษาปลอม
โดยวุฒิการศึกษาที่เขาปลอมขึ้นมาก็คือ อนุปริญญา สาขาวิศวกรรมศาสตร์
จาก Polytechnic School of Engineering มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
ซึ่งนอกจากเขา จะไม่ได้จบจากออกซฟอร์ดจริง ๆ แล้ว
Polytechnic School of Engineering ก็เป็นสถาบันการศึกษา ที่ไม่มีอยู่จริงเช่นเดียวกัน
จาก Polytechnic School of Engineering มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
ซึ่งนอกจากเขา จะไม่ได้จบจากออกซฟอร์ดจริง ๆ แล้ว
Polytechnic School of Engineering ก็เป็นสถาบันการศึกษา ที่ไม่มีอยู่จริงเช่นเดียวกัน
เวลาล่วงเลยมาถึงปี 1918 เศรษฐกิจของโปรตุเกส ก็อยู่ในสภาพย่ำแย่
เนื่องจากโปรตุเกส เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในฐานะฝ่ายสัมพันธมิตร
ที่ถึงแม้จะชนะ แต่ค่าปฏิกรรมสงคราม ที่เยอรมนีจ่ายให้โปรตุเกสนั้น
น้อยกว่าประเทศสัมพันธมิตรอื่น ๆ มาก
เนื่องจากโปรตุเกส เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในฐานะฝ่ายสัมพันธมิตร
ที่ถึงแม้จะชนะ แต่ค่าปฏิกรรมสงคราม ที่เยอรมนีจ่ายให้โปรตุเกสนั้น
น้อยกว่าประเทศสัมพันธมิตรอื่น ๆ มาก
อีกทั้งโปรตุเกส ยังติดหนี้สหราชอาณาจักรจำนวนมาก
เนื่องจากพวกเขากู้เงินจากสหราชอาณาจักร มาใช้ในการทำสงคราม ทั้งในสมรภูมิยุโรป และแอฟริกา
เนื่องจากพวกเขากู้เงินจากสหราชอาณาจักร มาใช้ในการทำสงคราม ทั้งในสมรภูมิยุโรป และแอฟริกา
โปรตุเกสที่ขาดดุลการคลังอย่างหนักในขณะนั้น ตัดสินใจแก้ปัญหาการขาดดุลการคลัง
ด้วยการพิมพ์เงินเพิ่ม เนื่องจากโปรตุเกส เลิกใช้ทองคำหนุนธนบัตร ตั้งแต่ปี 1891
พร้อมกับขึ้นภาษีให้มากขึ้น เป็นเหตุให้เงินเฟ้อของโปรตุเกสในตอนนั้น พุ่งสูงเป็นอย่างมาก
ด้วยการพิมพ์เงินเพิ่ม เนื่องจากโปรตุเกส เลิกใช้ทองคำหนุนธนบัตร ตั้งแต่ปี 1891
พร้อมกับขึ้นภาษีให้มากขึ้น เป็นเหตุให้เงินเฟ้อของโปรตุเกสในตอนนั้น พุ่งสูงเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่านาย Reis ก็ได้รับผลกระทบ จากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในครั้งนี้ ทำให้เขาต้องหาเงินเพิ่ม
ด้วยการนำเครื่องจักรเก่ามาซ่อม ก่อนนำไปหลอกขาย ว่าเป็นเครื่องจักรใหม่
พร้อมกับทำการยักยอกเงิน ด้วยการปลอมแปลงเช็คจากบริษัท Angolan Railways ที่เขาทำงานอยู่
ก่อนจะถูกจับได้ในปี 1924 และนำตัวกลับไปคุมขัง ที่ประเทศโปรตุเกส
ด้วยการนำเครื่องจักรเก่ามาซ่อม ก่อนนำไปหลอกขาย ว่าเป็นเครื่องจักรใหม่
พร้อมกับทำการยักยอกเงิน ด้วยการปลอมแปลงเช็คจากบริษัท Angolan Railways ที่เขาทำงานอยู่
ก่อนจะถูกจับได้ในปี 1924 และนำตัวกลับไปคุมขัง ที่ประเทศโปรตุเกส
อย่างไรก็ตาม การถูกคุมขัง ไม่ได้ทำให้เขาสำนึกผิด แต่กลับเป็นโอกาส
ให้เขาได้นั่งคิดทบทวนกับตัวเอง จนได้แผนการที่จะกลายเป็นการโกง ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ขึ้นมา
นั่นก็คือการหลอกโรงพิมพ์ธนบัตร ของธนาคารกลางโปรตุเกส ให้ทำการพิมพ์เงินมาให้เขาใช้
ให้เขาได้นั่งคิดทบทวนกับตัวเอง จนได้แผนการที่จะกลายเป็นการโกง ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ขึ้นมา
นั่นก็คือการหลอกโรงพิมพ์ธนบัตร ของธนาคารกลางโปรตุเกส ให้ทำการพิมพ์เงินมาให้เขาใช้
หลังจากติดคุกเพียงแค่ 2 เดือน นาย Reis ก็ถูกปล่อยตัวออกมา เขาได้เริ่มหาผู้ร่วมขบวนการ
ด้วยการใช้เครือข่ายที่เขาเคยมี จากการเคยคลุกคลีอยู่ในวงของชนชั้นสูง
จนได้พบกับ Jose Bandeira ทูตโปรตุเกส ประจำประเทศเนเธอร์แลนด์
ที่แนะนำให้เขารู้จักกับผู้ร่วมขบวนการอีก 2 คน คือ
Karel Marang นายธนาคารชาวดัตช์ และ Adolf Hennies สายลับชาวเยอรมัน
ด้วยการใช้เครือข่ายที่เขาเคยมี จากการเคยคลุกคลีอยู่ในวงของชนชั้นสูง
จนได้พบกับ Jose Bandeira ทูตโปรตุเกส ประจำประเทศเนเธอร์แลนด์
ที่แนะนำให้เขารู้จักกับผู้ร่วมขบวนการอีก 2 คน คือ
Karel Marang นายธนาคารชาวดัตช์ และ Adolf Hennies สายลับชาวเยอรมัน
เมื่อได้ผู้ร่วมขบวนการแล้ว เขาก็ได้ทำตามแผนการขั้นต่อไป
ด้วยการให้ Marang เป็นตัวแทนในการเดินทางไปยังลอนดอน
เพื่อเข้าเจรจากับ Sir William Waterlow เจ้าของโรงพิมพ์ธนบัตร Waterlow and Sons
ที่รับพิมพ์ธนบัตร ให้กับธนาคารกลางของโปรตุเกส
ด้วยการให้ Marang เป็นตัวแทนในการเดินทางไปยังลอนดอน
เพื่อเข้าเจรจากับ Sir William Waterlow เจ้าของโรงพิมพ์ธนบัตร Waterlow and Sons
ที่รับพิมพ์ธนบัตร ให้กับธนาคารกลางของโปรตุเกส
Marang ได้เล่าเรื่องตามที่นาย Reis แต่งขึ้นมาว่า รัฐบาลโปรตุเกส ต้องการพิมพ์ธนบัตรพิเศษเพิ่มเติม
เพื่อเตรียมให้รัฐบาลของแองโกลากู้ สำหรับใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้พิมพ์ธนบัตร 500 เอสคูโด
ซึ่งเป็นสกุลเงินประจำชาติของโปรตุเกสในตอนนั้น จำนวน 580,000 ฉบับ
และธนาคารกลางของโปรตุเกส จะให้ค่าจ้างพิเศษเป็นจำนวน 2% ของมูลค่าธนบัตรที่พิมพ์
เพื่อเตรียมให้รัฐบาลของแองโกลากู้ สำหรับใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้พิมพ์ธนบัตร 500 เอสคูโด
ซึ่งเป็นสกุลเงินประจำชาติของโปรตุเกสในตอนนั้น จำนวน 580,000 ฉบับ
และธนาคารกลางของโปรตุเกส จะให้ค่าจ้างพิเศษเป็นจำนวน 2% ของมูลค่าธนบัตรที่พิมพ์
และเมื่อเล่าเรื่องจบ Marang ก็ได้กำชับกับ Sir Waterlow ว่าจะต้องติดต่อผ่านทางเขาเท่านั้น
เพราะนี่เป็นโครงการลับ ของทางธนาคารกลางโปรตุเกส
ที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจาก “เหตุผลทางการเมือง”
เพราะนี่เป็นโครงการลับ ของทางธนาคารกลางโปรตุเกส
ที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจาก “เหตุผลทางการเมือง”
Sir Waterlow ถึงกับตาลุกวาว เมื่อคิดถึงค่าจ้างพิเศษที่เขาจะได้รับ แต่อย่างไรก็ตาม
เขาก็ต้องการเอกสารยืนยัน จากทางธนาคารกลางโปรตุเกสก่อน
เขาก็ต้องการเอกสารยืนยัน จากทางธนาคารกลางโปรตุเกสก่อน
นั่นจึงทำให้ Marang บอกให้ Sir Waterlow ติดต่อกับธนาคารกลางโปรตุเกส
ผ่าน Bandeira ที่เป็นทูตโปรตุเกส ประจำประเทศเนเธอร์แลนด์
แทนที่จะส่งไปยังธนาคารกลางโดยตรง เพื่อรักษาความลับของโครงการไว้
ผ่าน Bandeira ที่เป็นทูตโปรตุเกส ประจำประเทศเนเธอร์แลนด์
แทนที่จะส่งไปยังธนาคารกลางโดยตรง เพื่อรักษาความลับของโครงการไว้
หลังจากจดหมายของ Sir Waterlow มาถึง นาย Reis ก็ได้ทำการเขียนจดหมายยืนยัน
และปลอมแปลงลายเซ็น ของผู้ว่าการธนาคารกลาง ก่อนจะส่งกลับไปหา Sir Waterlow
จนทำให้เขาเชื่อ และเริ่มการพิมพ์เงิน มูลค่า 290 ล้านเอสคูโด
และปลอมแปลงลายเซ็น ของผู้ว่าการธนาคารกลาง ก่อนจะส่งกลับไปหา Sir Waterlow
จนทำให้เขาเชื่อ และเริ่มการพิมพ์เงิน มูลค่า 290 ล้านเอสคูโด
โดยเงินจำนวนนี้ เมื่อคิดเป็นเงินในปัจจุบัน ก็จะเท่ากับประมาณ 5,600 ล้านบาท
ซึ่งเป็นมูลค่าที่มากถึง ประมาณ 5% ของ GDP โปรตุเกสในตอนนั้นเลยทีเดียว
ซึ่งเป็นมูลค่าที่มากถึง ประมาณ 5% ของ GDP โปรตุเกสในตอนนั้นเลยทีเดียว
เมื่อได้เงินมาแล้ว นาย Reis ได้จ้างให้คนนำเงินที่พิมพ์มา ไปฝากไว้ในธนาคารก่อน
แล้วค่อยถอนเอาเงินที่ถูกกฎหมายจริง ๆ ออกมาจากธนาคาร
แล้วค่อยถอนเอาเงินที่ถูกกฎหมายจริง ๆ ออกมาจากธนาคาร
แต่ตอนนั้นก็มีบางธนาคาร ที่เกิดความสงสัยว่านี่จะเป็นเงินปลอม
จึงได้ส่งธนบัตรไปตรวจสอบกับทางธนาคารกลาง
จึงได้ส่งธนบัตรไปตรวจสอบกับทางธนาคารกลาง
ทว่าโชคก็ยังเข้าข้างนาย Reis เพราะในตอนนั้น เทคโนโลยียังไม่พัฒนามาก
และความหละหลวมของทางธนาคารกลาง จึงทำให้ตรวจไม่พบความผิดปกติ ในธนบัตรเหล่านี้แต่อย่างใด
โดยธนบัตรเหล่านี้ ก็เหมือนธนบัตรจริงทุกประการ
เพราะพวกเขาสั่งพิมพ์จากโรงพิมพ์เดียวกัน กับที่ธนาคารกลางของโปรตุเกสใช้
และความหละหลวมของทางธนาคารกลาง จึงทำให้ตรวจไม่พบความผิดปกติ ในธนบัตรเหล่านี้แต่อย่างใด
โดยธนบัตรเหล่านี้ ก็เหมือนธนบัตรจริงทุกประการ
เพราะพวกเขาสั่งพิมพ์จากโรงพิมพ์เดียวกัน กับที่ธนาคารกลางของโปรตุเกสใช้
ด้วยจำนวนเงินที่มากมาย การฟอกเงินด้วยการฝากและถอนแบบนี้ อาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น
ทำให้นาย Reis คิดหาวิธีฟอกเงิน ให้ได้คราวละมาก ๆ
จนนำไปสู่การตั้งธนาคารชื่อ Bank of Angola and Metropole ในแองโกลา
เมื่อปี 1925 และทำการปล่อยกู้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ
ทำให้นาย Reis คิดหาวิธีฟอกเงิน ให้ได้คราวละมาก ๆ
จนนำไปสู่การตั้งธนาคารชื่อ Bank of Angola and Metropole ในแองโกลา
เมื่อปี 1925 และทำการปล่อยกู้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ
นาย Reis ร่ำรวยเป็นอย่างมาก จากการทำแบบนี้ แต่ด้วยการที่ Bank of Angola and Metropole
ยังสามารถดำเนินกิจการได้ แม้จะปล่อยเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ในขณะที่ธนาคารอื่น ๆ ในโปรตุเกส ต่างพากันล้มละลาย จากสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
ได้ทำให้ธนาคารของนาย Reis เป็นที่สนใจ ของสื่อในโปรตุเกส ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหนังสือพิมพ์ O Século
ยังสามารถดำเนินกิจการได้ แม้จะปล่อยเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ในขณะที่ธนาคารอื่น ๆ ในโปรตุเกส ต่างพากันล้มละลาย จากสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
ได้ทำให้ธนาคารของนาย Reis เป็นที่สนใจ ของสื่อในโปรตุเกส ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหนังสือพิมพ์ O Século
หนังสือพิมพ์ O Século ได้ออกบทความ ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับที่มาของแหล่งเงินทุน
และการดำเนินธุรกิจของธนาคารแห่งนี้ เพราะนอกจากจะปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำแล้ว
พวกเขายังปล่อยกู้ ให้กับลูกหนี้ โดยไม่มีการเรียกสินทรัพย์ค้ำประกันด้วย
เรื่องนี้จึงร้อนถึงธนาคารกลางโปรตุเกส ต้องลงมาทำการตรวจสอบอีกครั้ง
และการดำเนินธุรกิจของธนาคารแห่งนี้ เพราะนอกจากจะปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำแล้ว
พวกเขายังปล่อยกู้ ให้กับลูกหนี้ โดยไม่มีการเรียกสินทรัพย์ค้ำประกันด้วย
เรื่องนี้จึงร้อนถึงธนาคารกลางโปรตุเกส ต้องลงมาทำการตรวจสอบอีกครั้ง
และเมื่อเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางโปรตุเกส เข้ามาตรวจสอบ ก็ได้พบกับความจริงว่า
ธนบัตรเหล่านี้ ได้ถูกพิมพ์ซ้ำขึ้นมา เนื่องจากชุดตัวเลขบนธนบัตรที่ซ้ำกัน กับธนบัตรที่ใช้กันอยู่ในโปรตุเกส
แต่พวกเขานั้นไม่เคยตรวจพบเลย เนื่องจากธนบัตรส่วนใหญ่ ถูกนำมาใช้ที่แองโกลา
ธนบัตรเหล่านี้ ได้ถูกพิมพ์ซ้ำขึ้นมา เนื่องจากชุดตัวเลขบนธนบัตรที่ซ้ำกัน กับธนบัตรที่ใช้กันอยู่ในโปรตุเกส
แต่พวกเขานั้นไม่เคยตรวจพบเลย เนื่องจากธนบัตรส่วนใหญ่ ถูกนำมาใช้ที่แองโกลา
นั่นจึงทำให้นาย Reis และผู้ร่วมขบวนการ ถูกจับและดำเนินคดีทันที
โดยนาย Reis ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี จากความผิดในครั้งนี้
ซึ่งหลังจากที่เขาได้รับโทษจนครบกำหนด ก็ได้ถูกปล่อยตัวในปี 1945
ก่อนที่อีก 10 ปีให้หลัง เขาจะเสียชีวิตลง ซึ่งในตอนบั้นปลายชีวิต เขากลายเป็นคนยากไร้ ที่ไม่มีเงินติดตัว
โดยนาย Reis ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี จากความผิดในครั้งนี้
ซึ่งหลังจากที่เขาได้รับโทษจนครบกำหนด ก็ได้ถูกปล่อยตัวในปี 1945
ก่อนที่อีก 10 ปีให้หลัง เขาจะเสียชีวิตลง ซึ่งในตอนบั้นปลายชีวิต เขากลายเป็นคนยากไร้ ที่ไม่มีเงินติดตัว
ถึงแม้เขาจะได้รับโทษ แต่ผลกระทบจากการที่เขาหลอกให้โรงพิมพ์ธนบัตร
พิมพ์เงินออกมาในระบบเศรษฐกิจ มากขนาดนี้
ก็ได้ซ้ำเติม สถานการณ์เงินเฟ้อในโปรตุเกส ให้สูงขึ้นไปอีก
พิมพ์เงินออกมาในระบบเศรษฐกิจ มากขนาดนี้
ก็ได้ซ้ำเติม สถานการณ์เงินเฟ้อในโปรตุเกส ให้สูงขึ้นไปอีก
แต่ที่แย่กว่านั้นคือ เหตุการณ์นี้ได้ส่งผลให้ ประชาชนที่กำลังทุกข์ร้อนอยู่แล้ว
หมดความเชื่อใจ ในระบบธนาคาร และรัฐบาลของโปรตุเกส
หมดความเชื่อใจ ในระบบธนาคาร และรัฐบาลของโปรตุเกส
จนทำให้ความวุ่นวายทางการเมือง ที่มีอยู่แล้ว ทวีความรุนแรงขึ้น
และกลายเป็นหนึ่งในชนวน สู่การรัฐประหาร เมื่อปี 1926
ซึ่งได้ทำให้ประเทศโปรตุเกส ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ยาวนานถึง 48 ปี..
และกลายเป็นหนึ่งในชนวน สู่การรัฐประหาร เมื่อปี 1926
ซึ่งได้ทำให้ประเทศโปรตุเกส ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ยาวนานถึง 48 ปี..
References
-https://medium.com/evolve-you/how-to-rob-a-central-bank-and-almost-get-away-with-it-254611baf86f
-https://visitmylisbon.com/alves-dos-reis-portuguese-swindler/
-https://encyclopedia.1914-1918-online.net/article/war_finance_portugal
-https://www.lse.ac.uk/Economic-History/Assets/Documents/WorkingPapers/Economic-History/2004/WP8204.pdf
-https://medium.com/evolve-you/how-to-rob-a-central-bank-and-almost-get-away-with-it-254611baf86f
-https://visitmylisbon.com/alves-dos-reis-portuguese-swindler/
-https://encyclopedia.1914-1918-online.net/article/war_finance_portugal
-https://www.lse.ac.uk/Economic-History/Assets/Documents/WorkingPapers/Economic-History/2004/WP8204.pdf