อธิบาย รายได้ 8 ประเภทของสรรพากร ผ่านเคส หมอเอกชนกับหมอโรงพยาบาลรัฐ เสียภาษีไม่เท่ากัน

อธิบาย รายได้ 8 ประเภทของสรรพากร ผ่านเคส หมอเอกชนกับหมอโรงพยาบาลรัฐ เสียภาษีไม่เท่ากัน

30 ต.ค. 2025
รู้หรือไม่ว่า หมอสองคนที่มีรายได้เท่ากันทุกบาททุกสตางค์ คนหนึ่งทำงานในโรงพยาบาลรัฐ อีกคนอยู่โรงพยาบาลเอกชน อาจจะต้องเสียภาษีต่างกันหลายเท่าตัว
และเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับหมอเท่านั้น 
แต่เกิดขึ้นได้กับเกือบทุกอาชีพ 
เพราะภาษีที่เราต้องจ่ายไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ รายได้มากหรือน้อย แต่ยังอยู่ที่ว่ารายได้นั้นจัดอยู่ในประเภทไหนด้วย
คำถามคือ ทำไมรายได้ที่เท่ากันถึงถูกเก็บภาษีต่างกัน ? 
แล้วสรรพากรแบ่งประเภทรายได้อย่างไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ 
สำหรับคนทำงานทั่วไปอย่างเรา รายได้ที่ได้รับในแต่ละปี จะถูกนำมาคำนวณภาษีที่เรียกว่า “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา”
หลายคนอาจจะคิดว่า ไม่ว่าจะมีรายได้แบบไหน ก็เสียภาษีเท่ากันหมด 
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น เพราะสรรพากรแบ่งรายได้ของเราออกเป็น 8 ประเภท ตามความยากง่าย และต้นทุนในการได้มา เพื่อความเป็นธรรม
นั่นหมายความว่า รายได้ประเภทที่หักค่าใช้จ่ายได้มากกว่า ก็จะเหลือเงินที่ต้องนำไปคำนวณภาษีน้อยลง ส่งผลให้เสียภาษีน้อยลงตามไปด้วย
และเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เราจะมาทำความเข้าใจ ผ่านกรณีศึกษาของคุณหมอ ซึ่งเป็นอาชีพที่จะทำให้เราเห็นความแตกต่างของภาษีได้ชัดเจนที่สุด เริ่มจาก..
- รายได้ประเภทที่ 1 รายได้จากงานประจำ
ไม่ว่าคุณหมอจะประจำอยู่ในโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน รายได้เงินเดือน เงินเวร หรือค่าตอบแทนอื่น ๆ ที่ได้รับจากโรงพยาบาลที่ทำงานประจำอยู่ จะถูกจัดเป็นรายได้ประเภทที่ 1
พูดง่าย ๆ ก็คือ รายได้ของพนักงานประจำเป็นรายได้ประเภทนี้ทั้งหมด
ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% ไม่เกิน 100,000 บาท
- รายได้ประเภทที่ 2 รายได้ไม่ประจำหรือรับจ้างอิสระ 
คุณหมอหลายคนไม่ได้มีแค่รายได้จากโรงพยาบาลที่ประจำอยู่ บางครั้งอาจไปรับจ็อบเข้าเวรที่โรงพยาบาลอื่น ซึ่งรายได้จากการรับจ็อบจะถือเป็นรายได้ประเภทที่ 2
ซึ่งรายได้ประเภทนี้เกิดจากการทำงานให้สำเร็จตามข้อตกลง แล้วได้รับค่าจ้าง หรือค่าคอมมิชชันเป็นการตอบแทน
ตัวอย่างรายได้อื่น ๆ ที่อยู่ในประเภทนี้ก็เช่น ฟรีแลนซ์ ตัวแทนประกันชีวิต การรับรีวิว รวมถึงการทำ Affiliate ให้กับแพลตฟอร์มอย่าง Shopee, Lazada หรือ TikTok
ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% ไม่เกิน 100,000 บาทเหมือนกับรายได้ประจำ
อย่างไรก็ตาม สรรพากรมองว่า รายได้จากงานประจำประเภทที่ 1 และรายได้รับจ้างประเภทที่ 2 เป็นรายได้ที่แทบไม่มีต้นทุน หรือมีต้นทุนน้อยมาก 
จึงให้นำเอารายได้ทั้ง 2 ประเภทมารวมกันเป็นก้อนเดียว แล้วหักค่าใช้จ่ายแบบเหมารวมกันได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีเท่านั้น
- รายได้ประเภทที่ 3 รายได้จากทรัพย์สินทางปัญญา 
นอกจากคุณหมอจะทำงานประจำ รับจ็อบในโรงพยาบาลอื่น ถ้าคุณหมอเขียนหนังสือและเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย ค่าตอบแทนตามยอดขายที่คุณหมอได้รับนั้นจะถือเป็นรายได้ประเภทที่ 3
พูดง่าย ๆ รายได้ประเภทนี้คือ พวกค่าลิขสิทธิ์ ค่าตอบแทนทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงค่าแฟรนไชส์
ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง หรือแบบเหมา 50% ไม่เกิน 100,000 บาทก็ได้ 
- รายได้ประเภทที่ 4 รายได้เกี่ยวกับการลงทุน 
หากคุณหมอเป็นนักลงทุน ซื้อทั้งหุ้นกู้และหุ้นปันผล รายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลก็จะถือเป็นรายได้ประเภทที่ 4
แต่รายได้ประเภทนี้จะไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 
อย่างไรก็ตาม รายได้ส่วนใหญ่มักจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว ดังนั้นจึงสามารถเลือกได้ว่า จะนำรายได้มารวมหรือไม่รวมคำนวณภาษีปลายปีก็ได้
- รายได้ประเภทที่ 5 รายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน
นอกจากรายได้จากการทำงาน และการลงทุนแล้ว หากคุณหมอมีคอนโดฯ ปล่อยเช่า รายได้ค่าเช่าที่ได้รับ จะถือเป็นรายได้ประเภทที่ 5
ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง หรือหักแบบเหมาก็ได้
โดยการหักแบบเหมาก็จะมีอัตราแตกต่างกันไปตามประเภททรัพย์สิน ส่วนการปล่อยเช่าคอนโดฯ สามารถหักแบบเหมาได้ 30%
- รายได้ประเภทที่ 6 รายได้จากวิชาชีพอิสระ
เป็นรายได้ที่ต้องใช้ความรู้ ความชำนาญเฉพาะทาง โดยกฎหมายกำหนดไว้ 6 วิชาชีพหลัก ได้แก่ การประกอบโรคศิลป์ (แพทย์) กฎหมาย วิศวกรรม สถาปัตยกรรม บัญชี และประณีตศิลปกรรม
รายได้ประเภทนี้สามารถเลือกได้ว่า จะหักค่าใช้จ่ายตามจริง หรือแบบเหมาก็ได้
ซึ่งแพทย์สามารถหักแบบเหมาได้สูงถึง 60% ส่วนวิชาชีพอื่นหักได้ 30% โดยไม่มีเพดานสูงสุด
ตรงนี้เองที่เป็นเหตุผลว่า ทำไมหมอเอกชนบางคน ถึงเสียภาษีน้อยกว่าหมอโรงพยาบาลรัฐ ทั้งที่มีรายได้เท่ากันทุกบาท
เพื่อให้เห็นภาพ เรามาลองดูเหตุการณ์สมมติกัน 
สมมติว่าคุณหมอ A และคุณหมอ B มีรายได้เท่ากันปีละ 1,000,000 บาท 
คุณหมอ A เป็นหมอเอกชน ทำสัญญากับโรงพยาบาลในลักษณะวิชาชีพอิสระ รายได้นี้จึงจัดอยู่ในประเภทที่ 6
สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% หรือก็คือ 600,000 บาท และหักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
เหลือเงินได้สุทธิที่ต้องเอาไปคำนวณภาษีเพียง 340,000 บาท
จากนั้นเมื่อนำไปคำนวณภาษีก็จะได้ว่า 
ภาษีที่ต้องจ่าย = [(340,000 - ขอบบนภาษีขั้นก่อนหน้า 300,000) x อัตราภาษี 10%] + ภาษีสะสมจากขั้นก่อนหน้า 7,500 
สุดท้ายจะจ่ายภาษีอยู่ที่ 11,500 บาท
ส่วนคุณหมอ B เป็นหมอโรงพยาบาลรัฐ ได้เงินเดือนและรับจ็อบโรงพยาบาลอื่น ซึ่งจัดเป็นรายได้ประเภทที่ 1 และ 2
สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 100,000 บาท
และหักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
เหลือเงินได้สุทธิที่ต้องเอาไปคำนวณภาษีถึง 840,000 บาท
จากนั้นเมื่อนำไปคำนวณภาษีก็จะได้ว่า 
ภาษีที่ต้องจ่าย = [(840,000 - ขอบบนภาษีขั้นก่อนหน้า 750,000) x อัตราภาษี 20%] + ภาษีสะสมจากขั้นก่อนหน้า 65,000 
ทำให้สุดท้ายต้องจ่ายภาษีถึง 83,000 บาท
จะเห็นว่า แม้รายได้จะเท่ากัน แต่เพียงแค่มีประเภทรายได้ที่ต่างกัน ก็ทำให้ภาระภาษีต่างกันได้ถึง 7 เท่าเลยทีเดียว
ทำให้หมอบางคนจึงพยายามแปลงประเภทรายได้จากประเภทที่ 1 และ 2 ให้กลายเป็นรายได้ประเภทที่ 6 เพื่อวางแผนภาษี 
- รายได้ประเภทที่ 7 รายได้จากการรับเหมา
เป็นรายได้ที่เกิดจากการรับเหมาก่อสร้าง หรือรับเหมาผลิตสินค้าตามแบบที่ลูกค้าต้องการ 
โดยที่ผู้รับเหมาจะต้องลงทุน จัดหาสัมภาระ เครื่องมือ และแรงงานเองจึงจัดเป็นรายได้ประเภทนี้
ซึ่งรายได้ประเภทนี้สามารถเลือกได้ว่า จะหักค่าใช้จ่ายตามจริง หรือหักแบบเหมา 60% ก็ได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นการรับเหมาค่าแรงเพียงอย่างเดียว โดยที่ลูกค้าเป็นคนซื้อวัสดุให้ รายได้นั้นจะถูกจัดเป็นประเภทที่ 2 ซึ่งหักค่าใช้จ่ายได้น้อยกว่า
- รายได้ประเภทที่ 8 รายได้จากการทำธุรกิจ และรายได้อื่น ๆ ที่ไม่เข้าข่ายประเภท 1 ถึง 7
โดยรายได้จากการทำธุรกิจแต่ละแบบ ก็จะมีวิธีหักค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป
แต่ในกรณีของคุณหมอ ถ้าเปิดคลินิกที่มีเตียงผู้ป่วยพักค้างคืน รายได้นั้นจะถูกจัดเป็นประเภทนี้ ซึ่งก็สามารถเลือกได้ว่า จะหักค่าใช้จ่ายตามจริง หรือหักแบบเหมา 60% ก็ได้
ถึงตรงนี้ก็จะเห็นว่า รายได้ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ของหมอโดยตรงนั้น สามารถเข้าข่ายได้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น
- ประเภทที่ 1 เงินเดือนจากโรงพยาบาล
- ประเภทที่ 2 รับจ็อบเข้าเวรโรงพยาบาลอื่น 
- ประเภทที่ 6 ทำสัญญาในลักษณะวิชาชีพอิสระ
- ประเภทที่ 8 เปิดคลินิกที่มีเตียงค้างคืน
ซึ่งหัวใจสำคัญของการวางแผนภาษี คือการจัดการรายได้ให้สามารถหักค่าใช้จ่ายได้มากที่สุด
นั่นก็หมายความว่า ถ้าเรารับรายได้ในประเภทที่ 1 และ 2 เราจะหักค่าใช้จ่ายได้สูงสุดเพียง 100,000 บาท 
แต่ถ้าเราเปลี่ยนโครงสร้างการรับไปเป็นรายได้ประเภทที่ 6 หรือ 8 เราจะสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% ของรายได้โดยไม่จำกัดเพดานสูงสุด
และไม่ใช่แค่คุณหมอที่ทำได้ อาชีพอื่นก็สามารถใช้หลักการเดียวกันนี้ได้เช่นกัน 
เพียงแต่เราต้องตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจน ว่าสรรพากรตีความประเภทรายได้ของอาชีพเราว่าอย่างไร 
สุดท้ายแล้ว ภาษีจึงไม่ได้วัดกันที่รายได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังวัดกันที่ความเข้าใจและการวางแผนจัดการรายได้ของแต่ละคนอีกด้วย..
#วางแผนการเงิน
#TaxFest2025
#ภาษีนี้มีแต่ได้x2
References
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.