
รู้จัก ตระกูล Guinness ตำนานผู้ผลิตเบียร์ดำ ที่ถูกเอาไปทำ ซีรีส์ Netflix
3 ต.ค. 2025
House of Guinness เป็นซีรีส์เรื่องใหม่ใน Netflix เกี่ยวกับเรื่องราวของการสืบทอดกิจการโรงเบียร์ที่เคยใหญ่ที่สุดในโลก โดยทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูล Guinness ในช่วงยุคศตวรรษที่ 19
ที่น่าสนใจก็คือ ทุกวันนี้เบียร์ Guinness ก็ยังอยู่ แต่เจ้าของกลับไม่ใช่คนในตระกูลผู้ก่อตั้งอย่าง Guinness แล้ว
เกิดอะไรขึ้นกับตระกูล Guinness ที่ซีรีส์ไม่ได้เล่าถึง ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
Guinness เป็นผู้ผลิตเบียร์ดำรายใหญ่จากไอร์แลนด์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1759 หรือก็คือช่วงก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แค่ประมาณ 8 ปี
ในตอนนั้นคุณ Arthur Guinness ที่ 1 ผู้ก่อตั้งของบริษัท ได้ทำสัญญาเช่าโรงผลิตเบียร์ที่ St. James’s Gate เป็นเวลา 9,000 ปี
โดยจะจ่ายค่าเช่าปีละ 45 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 287,400 บาท
ในช่วงแรก การสืบทอดกิจการของ Guinness ไม่ได้ยกให้ลูกชายคนโตเสมอไป อย่างที่ธุรกิจครอบครัวในยุโรปสมัยนั้นนิยมทำกัน แต่จะดูจากความเหมาะสมเป็นหลัก
อย่างตอนที่คุณ Arthur Guinness ที่ 1 เสียชีวิต เขาก็ยกตำแหน่งผู้สืบทอดกิจการให้กับคุณ Arthur Guinness ที่ 2 ซึ่งเป็นลูกชายคนรอง
หลังจากนั้นมา คุณ Arthur Guinness ที่ 2 ก็ไม่ได้ยกตำแหน่งผู้สืบทอดกิจการให้กับลูกชายคนโตเหมือนกัน เพราะลูกชายคนโตของเขามีความสนใจงานด้านศาสนามากกว่า
ตำแหน่งผู้สืบทอดกิจการจึงตกเป็นของลูกชายคนที่ 3 อย่างคุณ Benjamin Guinness ซึ่งก็คือพ่อของลูก ๆ ทั้ง 4 คนในซีรีส์ House of Guinness นั่นเอง
ทำให้ตอนนี้ คุณ Benjamin หลานปู่ผู้ก่อตั้ง เป็นทายาทรุ่นที่ 3 ส่วนลูก ๆ ของเขาที่เป็นตัวหลักในซีรีส์ ก็คือทายาทรุ่นที่ 4 ของ Guinness
ซึ่งตามประวัติที่แท้จริง จะต่างออกไปจากซีรีส์ตรงที่ลูกชายคนโตอย่างคุณ Arthur Guinness ยอมขายหุ้นในกิจการโรงเบียร์ให้กับน้องชายคือคุณ Edward Guinness แล้วหันไปทำงานด้านการเมืองแทน
ในปี 1876 คุณ Edward ในวัย 29 ปี ได้จ่ายเงินซื้อหุ้นของพี่ชายทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าในปัจจุบันอยู่ที่ 3,800 ล้านบาทเลยทีเดียว
โดยคุณ Arthur Guinness สามารถชนะเลือกตั้ง กลายเป็น สส. ของเมืองดับลินได้สำเร็จ ในยุคที่ไอร์แลนด์ ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรอยู่ ไม่ได้แยกเป็นไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือ แบบปัจจุบันนี้
ส่วนคุณ Edward Guinness ก็เป็นผู้สืบทอดกิจการโรงเบียร์ Guinness แต่เพียงผู้เดียว
ซึ่งยุคสมัยของคุณ Edward ก็คือยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของธุรกิจ Guinness เลยก็ว่าได้ เพราะยุคนี้คือยุคที่คนทั้งโลกได้ลิ้มรสเบียร์ดำ Guinness
ไล่ตั้งแต่คนญี่ปุ่นในฟากตะวันออกไกล ลงใต้ไปจนถึงประเทศอาณานิคมของสหราชอาณาจักรในแอฟริกา และลากยาวไปถึงคนอเมริกัน ซึ่งกำลังเป็นประเทศใหม่ที่คนเริ่มมีกำลังซื้อมาก
กำลังการผลิตของเบียร์ Guinness ค่อย ๆ เติบโตตามตลาดที่ใหญ่ขึ้น
ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี จากกำลังการผลิตเบียร์ของ Guinness อยู่ที่ 115 ล้านลิตรต่อปี ในปี 1879
ต่อมาในปี 1886 กำลังการผลิตเบียร์เพิ่มขึ้นมาเป็น 185 ล้านลิตรต่อปี
และในปีเดียวกัน คุณ Edward ก็ตัดสินใจนำ Guinness เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอน ซึ่งเขาก็ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดในบริษัทอยู่ ด้วยสัดส่วนหุ้นที่ถืออยู่คือ 1 ใน 3 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
ด้วยความที่ธุรกิจของ Guinness รุ่งเรืองขนาดนี้ เมื่อคุณ Edward เสียชีวิตในปี 1927 มรดกที่เขาส่งต่อให้ลูกชายทั้ง 3 คน หากคิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน จะมีมูลค่ามากถึง 1 ล้านล้านปอนด์ หรือประมาณ 43 ล้านล้านบาท เลยทีเดียว
แต่ปัญหากลับเริ่มต้นขึ้นจากการที่เขาแบ่งหุ้นให้ลูกชายทั้ง 3 คนเท่า ๆ กัน และยกตำแหน่งผู้สืบทอดกิจการให้กับคุณ Rupert ซึ่งเป็นลูกชายคนโต ให้กลายมาเป็นผู้สืบทอดกิจการรุ่นที่ 5 ต่อจากเขา
ซึ่งปัญหาที่ว่าก็คือ หุ้นที่คุณ Rupert ถือ เริ่มมีสัดส่วนหุ้นที่น้อยลงมาแล้ว จากการถูกแบ่งหุ้นเป็นมรดกเท่า ๆ กัน ทำให้เขามีอำนาจในการควบคุมบริษัทน้อยกว่าในสมัยที่คุณ Edward ผู้เป็นพ่อยังคงบริหารกิจการอยู่
แต่ก็ยังโชคดีที่คุณ Rupert ยังสามารถบริหารกิจการต่อไปได้ โดยไม่มีเรื่องขัดแย้งกับพี่น้อง และผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ในยุคคุณ Rupert มีหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ นั่นก็คือการเปลี่ยนกฎการสืบทอดกิจการ
จากเดิมที่เน้นมองหาทายาทที่มีความเหมาะสม ไปสู่การสร้างธรรมเนียมให้ลูกชายคนโตเท่านั้น ที่สามารถเป็นผู้สืบทอดกิจการได้
เมื่อบังคับให้ลูกชายคนโตเป็นทายาทเท่านั้น ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงว่าผู้สืบทอดกิจการ อาจไม่ใช่คนที่มีความสามารถมากที่สุด
และยิ่งหุ้นถูกกระจายออกไปเรื่อย ๆ ผ่านการส่งต่อมรดก ก็ทำให้สมาชิกในครอบครัวแต่ละคน ไม่ได้รู้สึกมีส่วนร่วมกับธุรกิจครอบครัวมากเหมือนอย่างเคย
อาณาจักรธุรกิจของ Guinness ในยุคหลังจากที่คุณ Edward ซึ่งเป็นตัวเอกในซีรีส์ House of Guinness เสียชีวิต
จึงเริ่มเป็นอาณาจักรธุรกิจที่ตระกูล Guinness มีบทบาทในการบริหารบริษัทน้อยลงทุกที และแทนที่ด้วยการใช้ผู้บริหารที่เป็นคนนอกตระกูล
และจุดเปลี่ยนสำคัญก็มาถึง เมื่อ Guinness ที่ถูกบริหารโดยคนนอกตระกูล ตัดสินใจที่จะควบรวมกิจการกับ Grand Metropolitan ผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ของอังกฤษ
และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท Diageo ในปี 1997..
ปัจจุบันตระกูล Guinness จึงไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Diageo อีกต่อไปแล้ว จากสัดส่วนหุ้นที่ลดลง เมื่อมีการควบรวมกิจการ
แต่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจตั้งต้นเหมือนแต่ก่อน ความมั่งคั่งของตระกูลนี้ก็ยังมีมากพอสมควร ผ่านการเป็นเจ้าของที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์
โดยตระกูล Guinness จัดว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 186 ของสหราชอาณาจักร ด้วยความมั่งคั่งประมาณ 37,000 ล้านบาท
เรื่องราวของ Guinness จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากว่า การขยายธุรกิจให้ใหญ่โต ต้องมาพร้อมกับแผนการส่งต่อธุรกิจที่รอบคอบ
เพราะไม่อย่างนั้น ธุรกิจที่เราลงทุน ลงแรง สร้างมากับมือ อาจจะไม่ได้ตกไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยในอนาคต
และต้องแบ่งให้กับคนอื่น เหมือนอย่างกรณีของ Guinness นั่นเอง..
หมายเหตุ : บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาในการโปรโมตสินค้าใด ๆ หรือสนับสนุนให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพียงแต่ต้องการนำเสนอข้อเท็จจริงในมุมมองธุรกิจเท่านั้น
#ธุรกิจ
#ประวัติธุรกิจ
#ซีรีส์Netflix
References
-หนังสือ Business Family บทเรียนจาก 30 ครอบครัวธุรกิจ ผู้อยู่เบื้องหลังธุรกิจครอบครัวระดับโลก เขียนโดย กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์