
Youtuber-Influencer-Affiliate อาชีพมาแรงเหล่านี้ ทำอย่างไร ให้เสียภาษีน้อยที่สุด
2 ต.ค. 2025
ทุกวันนี้ อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นแค่ เครื่องมือสื่อสาร แต่มันยังกลายเป็น “สนามทำเงิน” ที่ใคร ๆ ก็เริ่มได้เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือและมีอินเทอร์เน็ต
โดยมีการประมาณการว่า เม็ดเงินที่หมุนเวียนในตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไทย มีมูลค่าสูงกว่า 45,000 ล้านบาทต่อปี
ด้วยเงินที่หมุนเวียนมหาศาลในระบบแบบนี้ ก็ไม่แปลกที่สรรพากรจะจับตามองอาชีพเหล่านี้เป็นพิเศษ
คำถามคือ แล้วถ้าเราเป็น Youtuber, Influencer หรือทำ Affiliate จะต้องเสียภาษีอย่างไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
เวลาที่สรรพากรเก็บภาษีไม่ได้มองว่า รายได้ทุกแบบเหมือนกัน แต่จะแบ่งออกเป็น 8 ประเภท ตามมาตรา 40 ของประมวลรัษฎากร
เหตุผลก็เพราะว่า รายได้แต่ละแบบมีลักษณะ และต้นทุนต่างกัน สรรพากรจึงกำหนด วิธีหักค่าใช้จ่ายของรายได้แต่ละประเภทแตกต่างกัน
ซึ่งการหักค่าใช้จ่ายที่ต่างกัน ก็จะส่งผลโดยตรงกับภาษีที่เราต้องจ่ายด้วย
ทีนี้เรามาดูกันว่ารายได้ต่าง ๆ ที่เหล่า Youtuber, Influencer และ Affiliate ได้นั้น
จัดอยู่ในประเภทไหน และหักค่าใช้จ่ายอย่างไร เริ่มจาก..
1. รายได้จากส่วนแบ่งโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นจากโฆษณา Google Ads จากยอดวิว รวมถึงระบบ Membership
จัดเป็นรายได้ประเภทที่ 8
สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง
โดยต้องเก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ครบถ้วน
2. รายได้จากการรับรีวิว จากการ Tie-in สินค้า รวมถึงรายได้จากสปอนเซอร์
- ถ้าทำทุกอย่างคนเดียว มีค่าใช้จ่ายไม่เยอะ ไม่มีลูกจ้าง ไม่มีสำนักงาน
ลักษณะนี้จัดเป็นรายได้ประเภทที่ 2
หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% ไม่เกิน 100,000 บาท
- ถ้าถูกจ้างแบบเหมาที่ต้องมีทีมงานโปรดักชันส์ มีค่าใช้จ่ายสูง
ลักษณะนี้จัดเป็นรายได้ประเภทที่ 8 หักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง โดยต้องเก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ครบถ้วน
3. รายได้จากการโชว์ตัว ออกงานตามงานอิเวนต์
จัดเป็นรายได้ประเภทที่ 2 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% ไม่เกิน 100,000 บาท
แต่หากว่าเป็นงานอิเวนต์ในฐานะนักแสดงสาธารณะ หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นดารา ตามนิยามของสรรพากร
ถ้าเข้าข่ายลักษณะนี้จัดเป็นรายได้ประเภทที่ 8
สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ
แบบแรก หักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง โดยต้องเก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ครบถ้วน
แบบที่ 2 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาสูงสุด 600,000 บาท
โดยส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท หักได้ 60% และส่วนที่เกิน 300,000 บาท หักได้ 40%
4. รายได้จากการขายสินค้าและบริการ
ถูกจัดเป็นรายได้ประเภทที่ 8
ถ้าเป็นสินค้าแบรนด์ของตัวเอง หักค่าใช้จ่ายตามจริง โดยต้องเก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ครบถ้วน
แต่ถ้าเป็นของที่ซื้อมาขาย ให้หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60%
5. รายได้จากการเป็นนายหน้าขายของออนไลน์ (Affiliate Marketing) ให้กับแพลตฟอร์มอย่าง Shopee, Lazada หรือ TikTok
โดยการนำลิงก์สินค้าจากแพลตฟอร์มร้านค้า ไปโพสต์ ไปแชร์ ให้คนมากดซื้อ แล้วได้รับค่าคอมมิชชัน
ลักษณะนี้จัดเป็นรายได้ประเภทที่ 2 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% ไม่เกิน 100,000 บาท
เมื่อเข้าใจแล้วว่ารายได้แต่ละแบบจัดอยู่ในประเภทไหน หักค่าใช้จ่ายได้เท่าไร ยังมีเรื่องสำคัญที่เราควรรู้อีกก็คือ
- ถ้ารายได้รวมทั้งหมดที่ไม่รวมเงินเดือน ไม่ถึง 1 ล้านบาท ให้คำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิแบบขั้นบันได
- ถ้ารายได้รวมทั้งหมดที่ไม่รวมเงินเดือน เกิน 1 ล้านบาท
ต้องคำนวณภาษี 2 แบบ คือแบบขั้นบันไดและแบบเหมา
คำนวณแล้ววิธีไหนเสียภาษีเยอะกว่า สรรพากรก็จะเลือกเก็บจากเราด้วยวิธีนั้น
โดยวิธีคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิแบบขั้นบันไดก็คือ
ภาษี = (รายได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี
ส่วนวิธีคำนวณภาษีแบบเหมาก็คือ
ภาษี = (เงินได้ทุกประเภท - เงินเดือน) x 0.005
- ถ้าใครมีเงินเดือนซึ่งเป็นรายได้ประเภทที่ 1 อยู่แล้ว การหักค่าใช้จ่ายของเงินเดือนและรายได้ประเภทที่ 2 จะถูกนับรวมกันและใช้สิทธิหักได้ไม่เกิน 100,000 บาท
- ถ้ามีรายได้จากการขายสินค้าและบริการถึง 1.8 ล้านบาท จะต้องยื่นจด VAT หรือภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน
- รายได้ประเภทที่ 8 ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ รายได้จากโฆษณา รีวิวแบบมีทีมงาน ขายของ รวมถึงดาราออกอิเวนต์ ต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง คือภาษีครึ่งปี และภาษีเต็มปี
- รายได้ประเภทที่ 2 ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ รายได้จากการรับรีวิว ออกงานอิเวนต์ การเป็นนายหน้าขายของออนไลน์ ยื่นแค่ภาษีเต็มปี
- ภาษีครึ่งปี ใช้แบบ ภ.ง.ด.94
ยื่นแบบเอกสาร ภายในเดือนกันยายน
ยื่นแบบออนไลน์ ภายใน 8 ตุลาคม
- ภาษีเต็มปี ใช้แบบ ภ.ง.ด.90
ยื่นแบบเอกสาร ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป
ยื่นแบบออนไลน์ ภายใน 8 เมษายนของปีถัดไป
สุดท้ายกลับมาที่คำถามสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้เสียภาษีน้อยที่สุด โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งก็มีอยู่หลายวิธี
วิธีที่ 1 ถ้าสามารถเลือกได้ ให้เลือกวิธีที่หักค่าใช้จ่ายที่หักได้มากกว่า
วิธีที่ 2 กำหนดเวลารับเงิน เพราะรับเงินปีภาษีใด ถือเป็นรายได้ของปีภาษีนั้น
วิธีที่ 3 คนที่แต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว มีวิธียื่นแบบได้ถึง 5 วิธี ลองคำนวณเปรียบเทียบ เพื่อหาวิธีที่เสียน้อยที่สุด
วิธีที่ 4 เพิ่มค่าลดหย่อนภาษี เช่น ซื้อประกันและกองทุนลดหย่อนภาษีต่าง ๆ เพิ่มเติม ทำให้เงินได้สุทธิลดลง ส่งผลให้ภาษีที่ต้องจ่ายลดลงตามไปด้วย
สุดท้าย สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องเน้นย้ำคือ อย่าลืมเก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายไว้ให้ครบ
เพราะการเสียภาษีเกินกว่าที่ควรไม่ใช่หน้าที่ แต่คือสิทธิประโยชน์ที่เราต้องรักษาไว้..
#วางแผนการเงิน
#TaxFest2025
#ภาษีนี้มีแต่ได้x2
References
-กรมสรรพากร : คู่มือภาษี 2568 สำหรับ Influencer
-กรมสรรพากร : คู่มือภาษีสำหรับ Youtuber-Influencer