
สรุปกลโกง หลอกลงทุนออนไลน์ ที่ทุกคนควรรู้ ถ้าไม่อยากเป็นเหยื่อ คนต่อไป
1 ต.ค. 2025
ถ้าให้ลองทายว่า กลโกงแบบไหน ที่เรามีโอกาสจะตกเป็นเป้าของมิจฉาชีพมากที่สุด คำตอบของหลายคนอาจเป็น Call Center
แต่จากงานศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ได้เห็นว่า มิจฉาชีพก็มีการแบ่งกลโกงออกเป็นหลากหลายแบบ ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย คล้ายการทำการตลาด
กลับพบว่ากลโกงที่มิจฉาชีพใช้กับแทบทุกกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน หรือเจ้าของกิจการ คนรายได้น้อย หรือคน High Profile คนหนุ่มสาว หรือคนสูงวัย
ต่างก็เป็นเป้าหมายของการ “หลอกลงทุน” ทั้งหมด
จึงไม่น่าแปลกใจที่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การหลอกลงทุนนั้น กลายเป็นกลโกงที่สร้างความเสียหายให้คนไทยสูงที่สุด ด้วยมูลค่าถึง 53,890 ล้านบาท
และถ้าหากเราไม่อยากเห็นเงินที่หามาอย่างยากลำบาก กลายเป็นยอดความเสียหายที่เพิ่มขึ้น ในสถิติของการหลอกลงทุนแบบนี้
MONEY LAB จะย่อยเทคนิคที่มิจฉาชีพใช้ ในการหลอกลงทุน ให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อ แบบเข้าใจง่าย ๆ
1. แอบอ้างสร้างความน่าเชื่อถือ
ในโซเชียลมีเดียปัจจุบันนี้ การแอบอ้างเอาชื่อหรือรูปของนักลงทุนชื่อดัง, หน่วยงาน หรือแม้แต่เพจและ Influencer ทางการเงินชื่อดังไปใช้ คือเรื่องที่เราเห็นได้ทั่วไป
นั่นก็เป็นเพราะเหล่ามิจฉาชีพ ต้องการทำให้เราเชื่อว่า กำลังลงทุน โดยมีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนดูแลเรา
และในปัจจุบัน มิจฉาชีพก็ได้พัฒนาไปอีกขั้น ด้วยการใช้บัญชีที่เป็นชื่อของบริษัทจดทะเบียน แทนการใช้ชื่อบัญชีเป็นบุคคลธรรมดาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราควรจะรู้ไว้ก็คือ ในปัจจุบันนี้ การจดทะเบียนบริษัทนั้นไม่ได้เป็นเรื่องยาก และต้องใช้เงินมากมาย แถมยังจดทะเบียนผ่านทางออนไลน์ได้ ด้วยระยะเวลาแค่ 3 ถึง 5 วันทำการเท่านั้น
ทำให้เหล่ามิจฉาชีพ สามารถจ้างคนไปจดทะเบียนบริษัท หรือแม้แต่ซื้อบัญชีนิติบุคคล จากบริษัทที่เคยจดทะเบียนแต่ยกเลิกกิจการไปแล้ว เพื่อนำมาใช้หลอกลวงเราต่อ
2. กดดันให้เร่งมือลงทุน
เมื่อมีคนเข้าไปสอบถามพูดคุย มิจฉาชีพมักจะไม่ปล่อยเวลาให้เหยื่อคิดลังเลหรือปรึกษาคนอื่นก่อนลงทุน
จึงมักจะสร้างความเร่งด่วน ด้วยวิธีหลัก ๆ เลยก็คือ การสร้างกรอบเวลา
เช่น โอนเงินเข้าแพลตฟอร์มภายใน 10 นาที เพื่อเริ่มยืนยันตัวตน หรือบางทีก็อาจจะน้อยกว่านั้น
จากนั้นก็ส่งข้อความมาเรื่อย ๆ เพื่อกดดันให้เรารีบเติมเงิน และไม่ให้เราคิดสงสัย
ซึ่งวิธีป้องกันแบบง่าย ๆ ก็คือการใช้เวลาปรึกษากับคนรอบข้าง หรือใช้เวลาในการเช็กข้อมูลผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ให้ไปเบื้องต้น ไม่ต้องหลงกลด่วนตัดสินใจ
3. ใช้ความโลภเป็นตัวกระตุ้น
หลังจากเติมเงินเสร็จแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการดึงเข้ากลุ่มไลน์ ที่ก็จะมีสมาชิกอีกหลายคน
จากนั้นก็จะมีผู้นำกลุ่มที่ทำตัวเป็น “กูรู” ในการแจกเทคนิควิธีการในการลงทุนที่การันตีผลตอบแทนสูง เพื่อให้เราเติมเงินเข้าไปลงทุนในแพลตฟอร์ม
โดยในช่วงแรก ๆ พอร์ตของเราในแพลตฟอร์มก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แถมกูรูประจำกลุ่มยังมีการหยิบยื่นโอกาสการลงทุนผลตอบแทนสูงให้อยู่เรื่อย ๆ รวมไปถึงเพื่อน ๆ สมาชิกในกลุ่มก็โชว์กำไรกันถ้วนหน้า
ถึงตรงนี้ หลายคนก็จะโดนความโลภเข้าครอบงำ และเติมเงินเพิ่มเข้าไปอย่างมั่นใจ เพราะหวังว่ายิ่งเติมเงินมากเท่าไร ก็คงจะได้ผลตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งที่ในความเป็นจริง กำไรที่เราเห็นก็เป็นแค่ตัวเลขปลอม ๆ ที่มิจฉาชีพผู้อยู่เบื้องหลังแพลตฟอร์มปั้นแต่งได้หมดทุกอย่าง
4. เงินของคุณแต่ถอนไม่ได้
เมื่อลงทุนไปสักระยะหนึ่ง เราก็ย่อมอยากจะเอากำไรจากการลงทุน มาใช้จ่ายให้ชื่นใจเสียหน่อย
แต่แพลตฟอร์มที่เราลงทุนอยู่ กลับล็อกเงินของเราไว้ ไม่ให้ถอนเสียอย่างนั้น แถมผู้ดูแลยังบอกอีกด้วยว่า เราต้องเติมเงินเพิ่มเข้าไปเสียก่อน ถึงจะเอาออกมาได้
หลาย ๆ คนอาจจะสงสัย ว่าทำไมเราถึงต้องเสียเงิน เพื่อที่จะได้เงินที่เป็นของเราเองกลับคืนมา
แต่สำหรับคนที่กำลังตกอยู่ในความกลัว ว่าจะเสียเงินที่ตัวเองหามาได้อย่างยากลำบากไป ไม่ว่าฝั่งนั้นจะพูดอย่างไรก็คงต้องยอม
และแน่นอนว่าเมื่อเราโอนเงินเพิ่มไปจนฝั่งมิจฉาชีพพอใจแล้ว สุดท้ายเงินทั้งหมดที่ให้ไปก็จะหายไปกับสายลม พร้อมกับเราที่โดนบล็อก และไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้อีกเลย
5. ให้ความช่วยเหลือแบบปลอม ๆ
สำหรับมิจฉาชีพบางกลุ่ม ก็มีการเพิ่มขั้นตอนสุดท้ายเข้าไป ด้วยการใช้คนปลอมเป็นตำรวจและทนาย ที่จะเข้ามาช่วยเหลือผู้เสียหาย
และให้ทำหนึ่งสิ่ง ที่ตำรวจหรือทนายตัวจริงไม่น่าจะให้เราทำ นั่นก็คือ การโอนเงินอีกครั้ง เพื่อเป็นการเช็กหรือยืนยันข้อมูลอีกครั้ง ว่ามีเงินของเราอยู่ในนั้นจริงหรือไม่
ก่อนที่สุดท้ายก็จะเชิดเงินของเราหนีไป ทิ้งไว้เพียงแต่ความเจ็บใจให้กับเหยื่อที่โดนหลอก 2 ต่อ
ซึ่งสิ่งที่จะป้องกันไม่ให้เราต้องเจอกับเหตุการณ์นี้ได้ ก็คือการตรวจสอบผ่านทางเว็บไซต์ BOT License Check และ SEC Check First
เพื่อเช็กว่าบริษัท, บุคคล หรือแพลตฟอร์มที่เราจะไปลงทุนด้วย จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
อีกทั้งเมื่อเราเจอสิ่งที่คิดว่า “ดีเกินความเป็นจริง” เช่น การันตีผลตอบแทนสูง ๆ หรือแชร์เทคนิคลับทำกำไรต่าง ๆ ที่คนพูดการันตีว่าทำได้แน่ ๆ โดยไม่พูดถึงความเสี่ยงเลย
เราก็ควรที่จะต้องเริ่มหาข้อมูลและศึกษาเสมอ ว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
ซึ่งข้อมูลที่น่าสนใจก็คือ Warren Buffett ตำนานนักลงทุนแห่งยุค ที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตไปกับการลงทุน ก็ยังทำผลตอบแทนได้ประมาณ 20% ต่อปีเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ เพื่อรับมือกับมิจฉาชีพที่มักจะใช้ช่องโหว่ในการแอบอ้างชื่อเซียนหุ้น ที่หลายคนมีฝีมือในการลงทุนจริง แต่ไม่ได้มีใบอนุญาตทางการเงิน
สำหรับหลอกให้เราเชื่อ โดยคิดว่าไม่จำเป็นต้องเช็กข้อมูล เพราะพวกเขาเป็นเซียนหุ้นตัวจริง
ก็ให้คิดไว้เสมอว่า ต้นแบบการลงทุนที่ดี ควรให้เพียงแนวคิดและวิธีการวิเคราะห์ ให้เราไปศึกษาและขัดเกลาฝีมือการลงทุนด้วยตัวเองเท่านั้น
ไม่ใช่การชี้ว่าหุ้นอะไรดี พร้อมการันตีผลตอบแทน ให้เราไปลงทุนตาม..
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#หลอกลงทุน
References
-เพจเฟซบุ๊ก ตำรวจสอบสวนกลาง