ทำไมบางบริษัท กำไรโต แต่ล้มละลาย ? หาคำตอบได้ด้วย FCF Margin

ทำไมบางบริษัท กำไรโต แต่ล้มละลาย ? หาคำตอบได้ด้วย FCF Margin

9 ก.ย. 2025
ในโลกการลงทุน มีเครื่องมืออยู่มากมาย ที่เราสามารถหยิบจับไปใช้ เพื่อช่วยเราในการวิเคราะห์ธุรกิจ เช่น
- IBD/E Ratio วิเคราะห์ความเสี่ยงเรื่องหนี้สิน
- GPM หรือ อัตรากำไรขั้นต้น วิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำธุรกิจ
- ROIC วิเคราะห์ความคุ้มค่าการลงทุนทำธุรกิจ
แต่รู้ไหมว่า มีเครื่องมืออีกชนิดหนึ่ง ที่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยพูดถึง แต่มีความสำคัญไม่แพ้กัน
เพราะจะช่วยให้คำตอบกับเราว่า “รายได้ของบริษัท แปลงเป็นเงินสดกลับมาจริง ๆ ได้เท่าไร ?”
เครื่องมือนี้ชื่อ Free Cash Flow Margin หรือ FCF Margin
หากสงสัยว่า ทำไม FCF Margin ถึงมีความสำคัญ และเราจะนำมาใช้งานจริงได้อย่างไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
FCF Margin คือตัวช่วยที่จะบอกเราว่า จากรายได้ทั้งหมดที่บริษัททำได้ สุดท้ายแล้ว จะเหลือเป็นกระแสเงินสดกลับเข้ามาจริง ๆ เท่าไร
มีวิธีการคำนวณหาง่าย ๆ ใน 2 ขั้นตอน
1. เริ่มจาก “กระแสเงินสดอิสระ”
อย่างที่เราคงคุ้นเคยกันดีว่า Free Cash Flow หรือ กระแสเงินสดอิสระ คือกระแสเงินสดที่คงเหลืออยู่ หลังจากหักค่าใช้จ่ายในการลงทุนทำธุรกิจไปหมดแล้ว
เงินสดเหล่านี้ บริษัทจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ได้ ตั้งแต่การซื้อหุ้นคืน, ชำระหนี้สิน หรือจ่ายเงินปันผลเพิ่ม ให้กับนักลงทุน
วิธีคำนวณหา Free Cash Flow ก็คือ
เงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงาน - ค่าใช้จ่ายในการลงทุน
ตัวอย่างเช่น บริษัท A มี
- เงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงาน 1,000 ล้านบาท
- ค่าใช้จ่ายในการลงทุน 500 ล้านบาท
จะได้กระแสเงินสดอิสระ เท่ากับ 500 ล้านบาท
2. ไขคำตอบด้วย FCF Margin
ทีนี้เราก็จะสามารถคำนวณหา FCF Margin ได้แล้ว ผ่านการนำ กระแสเงินสดอิสระมาหารด้วยรายได้รวม
ตัวอย่างจากบริษัท A เช่นเดิม
- จากข้อ 1 เราคำนวณหากระแสเงินสดอิสระได้ 500 ล้านบาท
- สมมติว่าบริษัท A มีรายได้ 5,000 ล้านบาท
ดังนั้น FCF Margin = (500 ล้านบาท / 5,000 ล้านบาท) x 100% จะเท่ากับ 10% นั่นเอง
ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ จากรายได้ 100 บาทที่บริษัททำได้ สุดท้ายแล้วจะสามารถแปลงมาเป็นกระแสเงินสดกลับเข้าบริษัทจริง ๆ ได้ 10 บาท 
แล้วทำไม FCF Margin ถึงมีความสำคัญ ?
ปกติเวลาเราดูว่า บริษัททำธุรกิจไปแล้ว ได้กำไรกลับคืนมา ดีมากน้อยแค่ไหน เรามักจะดูที่ Net Profit Margin หรือ NPM
NPM หรือ “อัตรากำไรสุทธิ” คำนวณหาได้จาก
(กำไรสุทธิ / รายได้รวม) x 100%
ซึ่ง NPM ก็มีข้อบกพร่องอยู่เหมือนกัน นั่นก็เพราะว่า กำไรสุทธิที่เราเห็นในงบการเงิน ในบางครั้ง อาจจะไม่ได้สะท้อนถึงภาพกระแสเงินสดที่แท้จริงของบริษัทก็ได้
โดยในอดีตก็มีบริษัทอยู่มากมาย ที่หากเราไปดูแค่ในส่วนของรายได้และกำไร ในงบกำไรขาดทุน ก็จะเห็นการเติบโตที่ดูดีมาก
แต่สุดท้าย บริษัทเหล่านี้กลับไม่มีเงินจ่ายหนี้เสียอย่างนั้น และต้องยื่นฟื้นฟูกิจการ หรือบางรายก็ถึงขั้นยื่นล้มละลาย
เพราะบางทีกำไรที่บริษัททำได้ อาจจะเป็น “กำไรในกระดาษ” จากการที่บริษัทขายสินค้าหรือบริการเป็นเงินเชื่อจนผลประกอบการเติบโต แต่ยังไม่ได้รับเงินสดเข้ามาจริง ๆ 
ตรงนี้เองคือสิ่งที่ FCF Margin จะเข้ามาช่วยให้เราไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์นี้ เพราะ FCF Margin จะเป็นตัวช่วยตอบข้อสงสัยให้กับเราว่า “บริษัทนี้ปลอดภัย น่าลงทุนจริงหรือไม่”
เพราะบริษัทที่ปลอดภัย น่าลงทุน มักจะต้องมีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดให้ได้ต่อเนื่อง เมื่อทำธุรกิจไปแล้ว จะต้องมีกระแสเงินสดกลับมา มากกว่าที่จ่ายออกไป ซึ่งก็จะทำให้ FCF Margin สูงอยู่เสมอ 
แม้ว่าบริษัทจะมีหนี้สินเยอะก็ตาม แต่ถ้ามีกระแสเงินสดเป็นบวกเข้ามาต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สักวันหนี้สินก็จะหมดลง
ในทางกลับกัน บริษัทที่ดูไม่ปลอดภัยและควรต้องระวัง ก็คือบริษัทที่ทำธุรกิจไปแล้ว แต่ได้รับกระแสเงินสดกลับมา ไม่คุ้มค่าใช้จ่ายเลย ก็จะทำให้ FCF Margin อยู่ในระดับต่ำ
เมื่อกระแสเงินสดจ่ายออก มากกว่า กระแสเงินสดรับเข้า เงินสดที่บริษัทมีก็จะต้องร่อยหรอลง
พอถึงวันที่บริษัทเริ่มอยู่ในภาวะเงินสดขาดมือ บริษัทก็จะต้องไปกู้หนี้ เพื่อต่อลมหายใจ ให้ยังมีชีวิตอยู่รอดได้
และหากบริษัทยังไม่สามารถแก้ปัญหา ทำให้เงินสดเข้ามากกว่าเงินสดออกได้ บริษัทก็จะต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ
จนถึงวันที่ มีหนี้สินมากเกินไป ทำให้ไม่มีใครกล้าปล่อยกู้อีกแล้ว
ภาพตอนจบของบริษัทแบบนี้ หากเราติดตามข่าวสารวงการตลาดทุนมาตลอด ก็จะเห็นเหมือน ๆ กัน คือต้องเลือก “เพิ่มทุน”, “ยื่นฟื้นฟูกิจการ” หรือ “ล้มละลาย” ในท้ายที่สุด
อ่านมาถึงตรงนี้ก็เชื่อว่า เราน่าจะเข้าใจถึงเรื่องราวและความสำคัญของ FCF Margin อีกหนึ่งเครื่องมือเช็กความปลอดภัยก่อนลงทุนกันดีขึ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม การลงทุนนั้น จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ผสมผสานกันอย่างลงตัว
เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราจะลงทุนในบริษัทไหนก็ตาม ก็อย่าลืมใช้เครื่องมือวิเคราะห์อันเป็นประโยชน์ ที่มีอยู่มากมาย ทั้งในด้านของคุณภาพ และปริมาณ กันด้วย
หากเราทำได้แบบนี้ เมื่อเวลาผ่านไป การวิเคราะห์ของเราก็คงจะเฉียบคมขึ้นมาก และเราก็จะเป็น นักลงทุนที่เก่งขึ้นได้ในทุกวัน..
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#FCFMargin
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.