
มาม่าไก่เผ็ดเกาหลี Samyang จากบริษัทล้มละลาย กลายเป็นตำนานหุ้น 190 เด้ง
8 ก.ย. 2025
ก่อนที่ Samyang จะส่งออกมาม่าไก่เผ็ดเกาหลี ออกไปให้คนทั่วโลกกินจนเผ็ดน้ำหูน้ำตาไหล
รู้ไหมว่าเจ้าของบริษัท Samyang ต้องน้ำตาไหลจากรสเผ็ดของวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ที่ทำให้บริษัทล้มละลายมาก่อนแล้ว
แต่ตัดภาพมาในวันนี้ นอกจาก Samyang จะกลายเป็นแบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่รู้จักกันทั่วโลกแล้ว
ส่วนในด้านการลงทุนนั้น ราคาหุ้นบริษัท Samyang Foods ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ขึ้นมามากถึงประมาณ 19,000%
หรือก็คือถ้ามีนักลงทุนคนไหน อดทนถือหุ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็จะได้รับผลตอบแทน 190 เด้ง..
ถ้าสงสัยว่า Samyang ทำอะไรถึงกลับมาจากการล้มละลาย จนกลายเป็นหนึ่งในตำนานหุ้น 100 เด้งของตลาดหุ้นเกาหลีได้แบบนี้ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
ย้อนกลับไป 64 ปีที่แล้ว เกาหลีใต้เพิ่งผ่านสงครามเกาหลีมาไม่ถึง 10 ปี ยังคงเผชิญกับความยากลำบาก ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจขึ้นมาจากเถ้าถ่านแห่งไฟสงคราม
อีกทั้งยังประสบปัญหาในการขาดแคลนอาหาร อย่างเช่น ข้าวและธัญพืช
คุณ Chun Joong-yoon ซึ่งขณะนั้นกำลังทำบริษัทประกันภัย ได้ละทิ้งธุรกิจเก่า มาก่อตั้งบริษัท Samyang Foods เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารของชาติ
จนในที่สุดก็สามารถผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือที่คนเกาหลีใต้เรียกว่า รามยอน ซองแรกได้สำเร็จ ในปี 1963 และทำให้ Samyang กลายเป็นผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายแรกของเกาหลีใต้อีกด้วย
ด้วยราคาของรามยอนจาก Samyang ที่ราคาซองละ 10 วอน (เทียบเป็นเงินไทยไม่ถึง 1 บาท)
ก็ทำให้ในปี 1970 Samyang สามารถครองตลาดรามยอนในประเทศได้ถึง 65% จนกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 25 บริษัทแรกของเกาหลีใต้อีกด้วย แถมยังจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นได้ในปี 1975
นอกจากนี้ในปี 1984 ยังมีการเปิดโรงงานผลิตรามยอน ในเมืองลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อขายในหมู่ชาวเกาหลีใต้ที่อพยพไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาด้วย
ทุกอย่างเหมือนกำลังไปได้สวย เส้นทางธุรกิจของ Samyang กำลังมุ่งตรงสู่การเป็น 1 ในธุรกิจ “แชโบล” หรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อเกาหลีใต้ ไม่ต่างกับ Samsung หรือ Hyundai
เพราะ Samyang ก็มีการแตกแขนงธุรกิจออกไปอีกหลากหลาย ทั้งธุรกิจผลิตนม, ธุรกิจน้ำมัน หรือแม้แต่ธุรกิจสุขภาพ
จนกระทั่ง Samyang ต้องเจอกับคลื่นแห่งวิกฤติที่เข้ามากระทบถึง 3 ลูก..
เริ่มจากในปี 1985 Nongshim แบรนด์รามยอนคู่แข่งที่ก่อตั้งขึ้นทีหลัง สามารถแซง Samyang ขึ้นมาเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของเกาหลีใต้ ด้วยส่วนแบ่งตลาด 40.4%
จากการที่ทาง Nongshim สามารถออกสินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวเกาหลีใต้ได้อย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งคู่แข่งที่เข้ามามากมาย ก็ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ Samyang หดเหลือเพียงแค่ 39.6% เท่านั้นเอง
คลื่นลูกที่ 2 ก็คือ จดหมายนิรนามที่ส่งตรงถึงหน่วยงานรัฐของเกาหลีใต้ ในปี 1989 ว่า Samyang ผลิตรามยอนของตัวเอง ด้วยการใช้ไขมันวัวเกรดอุตสาหกรรม ซึ่งไม่ได้ปลอดภัยสำหรับให้คนกิน
แม้ในเวลาต่อมาจะพบว่า ทาง Samyang ไม่ได้มีความผิดอย่างที่โดนกล่าวหา แต่ก็อย่างคำที่ว่า ความเชื่อใจสร้างไม่ง่าย ทำลายไม่ยาก และลำบากที่จะเรียกคืน
เพราะข่าวที่ออกไปได้ฝังความกลัวไว้ในใจของผู้บริโภคเรียบร้อยแล้ว
Samyang จึงสูญเสียส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น รวมถึงเหล่านักวิจัยไปให้กับคู่แข่ง ทำให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อจะมาต่อกรกับคู่แข่งก็ยากขึ้นไปอีก
และคลื่นลูกสุดท้าย ที่เป็นหมัดน็อกของ Samyang ก็คือ วิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ในปี 1997 ที่ส่งผลกระทบมาถึงเกาหลีใต้ อย่างที่กล่าวไปตอนต้นบทความ
แม้ไม่ได้กู้หนี้ยืมสินจากต่างประเทศมากมาย แต่ Samyang ที่กำลังร่อแร่อยู่แล้ว เมื่อเจอกับเศรษฐกิจถดถอยเข้าไป ก็ทำให้ต้องยื่นล้มละลายไปในปีเดียวกัน
ผู้บริหารของ Samyang ถึงกับต้องยอมให้ธนาคารยึดหุ้นไว้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ รวมถึงปิดโรงงานในสหรัฐฯ เพื่อหาเงินมาใช้หนี้ให้บริษัทอยู่รอดต่อไปได้
พร้อมทั้งทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดนั่นก็คือ การแต่งตั้งคุณ Kim Jung-soo ผู้เป็นลูกสะใภ้ของตระกูลผู้ก่อตั้ง Samyang ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านธุรกิจมาก่อน ให้ขึ้นมาเป็นผู้บริหาร
หลังจาก Samyang วนเวียนอยู่กับการปรับโครงสร้างหนี้ และคุมต้นทุนเพื่อเอาตัวรอดอยู่นานหลายปี ในที่สุด Samyang ก็ได้เจอจุดเปลี่ยนของธุรกิจเข้าจนได้..
ขณะกำลังเดินเล่นกับลูกในช่วงปี 2010 คุณ Kim ก็ได้เห็นแถวของคนที่ต่อแถวกันกินไก่ผัดซอสเผ็ด แม้ว่าแต่ละคนที่ได้กินจะพากันเผ็ดจนน้ำหูน้ำตาไหลก็ตาม
นั่นจึงทำให้คุณ Kim มองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจ ว่าที่จริงแล้วก็ยังมีตลาดคนชอบกินเผ็ด ที่ยังพอมีช่องว่าง คุณ Kim จึงสั่งให้บริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาทันที
จากไก่ 1,200 ตัว และซอสกว่า 2 ตันที่เสียไป ในการทดลองหารสชาติที่ใช่ สุดท้ายก็ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Buldak หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันในชื่อ “มาม่าไก่เผ็ดเกาหลี” ในปี 2012
แม้ตอนแรกหลายคนมองว่า Buldak จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเผ็ดเกินไปจนหลายคนกินไม่ได้
แต่สิ่งนี้เองกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้บริษัทสามารถกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง
- เผ็ดให้สุดแล้วหยุดที่สร้างความแตกต่าง
ท่ามกลางรามยอนหลากหลายแบรนด์และรสชาติบนชั้นวาง ที่ราคาก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก การที่ Samyang จะออก Product ทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ เช่น เพิ่มความเผ็ดเล็กน้อย ก็คงจะโดนเจ้าตลาดกลบมิดไม่มีเหลือ
เพราะฉะนั้นการลองเสี่ยงที่จะขายรามยอนเผ็ดมาก ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะกินได้ ก็ทำให้ Samyang กลายเป็นแบรนด์ที่ดูแตกต่างบนชั้นวางขึ้นมา
ถึงอย่างนั้นในตอนแรก ๆ ยอดขายของ Buldak ก็ไม่ได้ดีนัก ด้วยตลาดคนกินเผ็ดนั้นค่อนข้างเล็กมาก จนกระทั่ง
- ตลาดใหญ่ขึ้นได้ด้วยความไวรัล
ในปี 2014 YouTuber ชาวอังกฤษชื่อว่า Korean Englishman ได้เอา Buldak ไปให้เพื่อน ๆ ชาวอังกฤษลองกิน และถ่ายวิดีโอ Reaction ไว้ลงในช่องของตัวเอง
กลับกลายเป็นการจุดกระแสให้กับ Buldak ของ Samyang ขึ้นมา ผ่านเทรนด์ Fire Noodle Challenge ที่ลามไปทั่ว YouTube รวมถึง TikTok
นั่นจึงทำให้แม้ตลาดคนกินเผ็ดจะเล็กก็จริง แต่เมื่อขยายสเกลจากแค่คนกินเผ็ดในเกาหลีใต้ ให้กลายเป็นคนกินเผ็ดทั่วโลก ตลาดของ Samyang ก็ขยายใหญ่ขึ้นทันที
อีกทั้งยังสามารถดึงคนที่แม้อาจจะไม่ได้กินเผ็ดมาก แต่ก็อยากลองท้าพิสูจน์ดู ให้เข้ามาเป็นลูกค้าของ Samyang ได้เช่นเดียวกัน
- อาศัยแรงเติบโตจากต่างประเทศ
แม้ Samyang จะประสบความสำเร็จในการกลายเป็นที่รู้จักในหลายประเทศทั่วโลกแล้ว
แต่เจ้าตลาดของรามยอนในประเทศเกาหลีใต้ก็ยังเป็น Nongshim ที่จากข้อมูลล่าสุดในปี 2023 ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 56% ในขณะที่ Samyang กลับมีส่วนแบ่งตลาดในประเทศแค่ 13% เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูการเติบโตของกำไรเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาก็พบว่า Samyang มีการเติบโตประมาณ 33% ต่อปี ในขณะที่ Nongshim มีการเติบโตเพียงแค่ประมาณ 5% ต่อปีเท่านั้นเอง
นั่นก็เป็นเพราะว่าตลาดรามยอนในประเทศเกาหลีใต้นั้น อยู่ในจุดที่กำลังอิ่มตัวแล้ว โดยมีการคาดการณ์กันว่าในช่วง 10 ปีข้างหน้า ตลาดนี้จะโตเพียงแค่ประมาณ 4%
แต่ Samyang ที่ในส่วนของธุรกิจบะหมี่และสแน็ก มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกคิดเป็นถึงประมาณ 80%
Samyang จึงไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในตลาดเกาหลีใต้ที่ทั้งไม่ได้ใหญ่มาก และเริ่มจะอิ่มตัว ทำให้สามารถสร้างการเติบโตได้ดีกว่าคู่แข่ง
การเติบโตที่สูงมากแบบนี้ ก็ได้สะท้อนไปในมูลค่าบริษัทของ Samyang ที่สูงถึง 269,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าคู่แข่งคนสำคัญที่เป็นเจ้าตลาดอย่าง Nongshim ถึง 4 เท่า
อย่างไรก็ตาม หนทางข้างหน้าของ Samyang ก็ยังมีความท้าทายอีกมาก
เพราะคู่แข่งในเกาหลีใต้ก็คงต้องหาทางเอาตัวรอด ด้วยการขยายตลาดออกไปต่างประเทศให้หนักขึ้น ซึ่งก็จะเป็นการเข้ามาแย่งส่วนแบ่งในตลาดโลกของ Samyang
และนอกจากนี้ ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลากหลายแบรนด์ ทั้งจากเกาหลีใต้และในประเทศต่าง ๆ ที่ Samyang ไปตีตลาด ต่างก็พยายามทำสินค้าคล้าย ๆ กันขึ้นมาแข่งขันด้วย
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ Samyang ก็ได้แสดงให้เราเห็นว่า แม้จะเป็นบริษัทที่เคยล้มละลาย ในบางครั้งก็อาจจะกลายเป็นโอกาสการลงทุนที่ดีได้ ถ้าหากเราวิเคราะห์ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ได้อย่างถูกต้อง
เพราะบางครั้งการล้มละลาย ก็กลายเป็นแรงผลักดันให้ธุรกิจต้องคิดหาหนทางใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนเพื่อเอาตัวรอด จนอาจจะนำไปสู่การเติบโตครั้งใหม่
เหมือนกับที่ Samyang สามารถพลิกฟื้นกลายเป็นตำนานหุ้น 190 เด้งได้
ด้วยมาม่าไก่เผ็ดเกาหลี ที่ตอนแรกไม่มีใครมองว่าจะประสบความสำเร็จด้วยซ้ำ..
หมายเหตุ : ผลตอบแทนในบทความนี้ คำนวณจากราคาหุ้นที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted Stock Price) ที่รวมผลกระทบจาก การปันผล, การแตกหุ้น, การเพิ่มทุน และการซื้อคืนหุ้น ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2000 ถึงวันที่ 4 กันยายน 2025
#ลงทุน
#หุ้นนอก
#หุ้น100เด้ง
References
-รายงานประจำปีบริษัท Samyang Foods ปี 2024