ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา บ้านเกิดของธุรกิจเปลี่ยนโลก มาตลอด 200 ปี

ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา บ้านเกิดของธุรกิจเปลี่ยนโลก มาตลอด 200 ปี

13 ส.ค. 2025
หลอดไฟ ที่ทำให้มนุษย์ใช้ชีวิตได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

เครื่องบินและโทรศัพท์ ที่เชื่อมโยงคนทั้งโลกให้ใกล้กันมากขึ้น แม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละทวีป
ระเบิดนิวเคลียร์ ที่ปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 และทำให้ไม่มีใครอยากให้เกิดสงครามโลกครั้งต่อไป

คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และอินเทอร์เน็ต ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจดิจิทัล
มาจนถึง AI ที่หลายคนมองว่ามันคือการปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบล่าสุด
รู้หรือไม่ว่า นวัตกรรมใหม่ ๆ พลิกโลกเหล่านี้ ล้วนมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นต้นทางทั้งสิ้น
ซึ่งนอกจากนวัตกรรมเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนทั่วโลกแล้ว ยังเสริมสร้างความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐอเมริกา และสร้างมหาเศรษฐีหน้าใหม่มากมาย ขึ้นไปติดตำแหน่งมหาเศรษฐีระดับโลกอีกด้วย
ที่น่าสนใจก็คือ ตลอดระยะเวลา 200 กว่าปี ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดทำการ บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในประเทศแห่งนี้ก็ล้วนเปลี่ยนหน้าไปตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัย
แล้วถ้าใครอยากรู้ว่า บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ เคยทำธุรกิจอะไรกันมาบ้าง ?
MONEY LAB ก็ขอต้อนรับเข้าสู่ ซีรีส์บทความ “Money Wheels” ท่องไปในกงล้อประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ผ่านตลาดหุ้น
ปี 1792 คนไทยเพิ่งย้ายเมืองหลวงจากกรุงธนบุรี มาสู่กรุงรัตนโกสินทร์ได้เพียง 10 ปีเท่านั้น
แต่ข้ามมาอีกฟากหนึ่งของโลก สหรัฐอเมริกาเริ่มก่อตั้งตลาดหุ้นนิวยอร์กแล้ว
- ช่วงปี 1792-1840 ยุคธนาคารครองเมือง
ในช่วงแรกของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ธุรกิจธนาคารเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาดหุ้น 
ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร The Bank of North America, The First Bank of the United States และ Bank of New York
เพราะสมัยนั้นสหรัฐฯ เพิ่งประกาศอิสรภาพจากอังกฤษได้ประมาณ 16 ปีเท่านั้นเอง จึงเกิดความต้องการเงินทุนในการพัฒนาประเทศค่อนข้างมาก ธุรกิจปล่อยสินเชื่อของธนาคารจึงเฟื่องฟูไปได้ด้วยดี
ในช่วงเวลานี้ธุรกิจการเงินจึงมีสัดส่วนมากถึง 90% ของมูลค่าบริษัททั้งหมดในตลาดหุ้นเลยทีเดียว
- ช่วงปี 1840-1875 ยุคทองของธุรกิจรางรถไฟ
สหรัฐฯ เริ่มพัฒนาประเทศโดยเริ่มจากเมืองท่าทางฝั่งตะวันออก ขยายลึกเข้าสู่เมืองทางตะวันตก และทางด้านใต้
ด้วยความที่สหรัฐฯ มีพื้นที่กว้างใหญ่ ประกอบกับในช่วงก่อนหน้านี้ อังกฤษคิดค้นเครื่องจักรไอน้ำได้สำเร็จ 
รถไฟไอน้ำที่เริ่มแพร่หลายในยุโรป ก็เริ่มแพร่หลายในสหรัฐฯ ด้วย เพราะสหรัฐฯ มีการติดต่อค้าขายกับยุโรปอยู่ตลอดเวลา
จากนิวยอร์กสู่เพนซิลเวเนีย จากเพนซิลเวเนียสู่ชิคาโก ไม่นานเมืองใหญ่ ๆ ทางเหนือในสหรัฐฯ ก็ถูกเชื่อมต่อกันด้วยเส้นทางรถไฟ
เส้นทางรถไฟ ไม่เพียงแต่จะอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า และการเดินทางเท่านั้น แต่ยังช่วยให้รัฐฝ่ายเหนือของสหรัฐฯ เอาชนะรัฐฝ่ายใต้ ในสงครามกลางเมือง จากการขนส่งเสบียง และกำลังพลได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
ความเจริญของเทคโนโลยีการขนส่ง ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศแห่งเสรีภาพ ยกเลิกระบบทาสได้สำเร็จ
และบริษัทเจ้าของรางรถไฟอย่าง The Vermont Central Railroad ก็ได้รับรางวัลตอบแทน กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาดหุ้น 
ขณะที่บริษัทรางรถไฟอื่น ๆ เช่น The New York Central Railroad และ Pacific Railway ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น และอยู่ใน 10 อันดับบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาดหุ้นเช่นกัน
- ช่วงปี 1875-1929 ยุคของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน และการปฏิวัติการสื่อสารโลก
ในช่วงเวลานี้ เป็นช่วงที่หลายบริษัทต่างสลับกันขึ้นมาเป็น บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
เช่น บริษัทน้ำมันอย่าง Standard Oil ที่สามารถควบคุมส่วนแบ่งในอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐฯ ได้มากกว่า 90% 
ทำให้ในปี 1900 บริษัทแห่งนี้ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในสหรัฐฯ จากการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานถ่านหิน มาสู่น้ำมัน
แต่ถึงแม้จะผูกขาดกิจการน้ำมัน ทว่า Standard Oil ก็ยังไม่หยุดพัฒนานวัตกรรมการกลั่นน้ำมัน 
หนึ่งในนวัตกรรมของบริษัทคือ การคิดค้นกระบวนการกลั่นน้ำมันเป็นชั้น ๆ แบบแยกส่วน เรียกว่า “Fractional Distillation” ซึ่งเป็นกระบวนการกลั่นน้ำมันที่ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้
และคุณ John D. Rockefeller เจ้าของ Standard Oil ก็กลายมาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในยุคนั้น และจนถึงวันนี้ตระกูล Rockefeller ก็ยังถูกร่ำลือกันว่ายังเป็นตระกูลที่รวยที่สุดในโลกอยู่เลย
อย่างไรก็ตาม ความยิ่งใหญ่ของ Standard Oil ก็ต้องถูกรัฐบาลสหรัฐฯ คุมกำเนิด เพราะกลัวว่าอุตสาหกรรมน้ำมันในประเทศจะถูกผูกขาดโดยบริษัทเดียว
รัฐบาลสหรัฐฯ จึงออกกฎหมายต่อต้านการผูกขาดที่เรียกว่า “The Sherman Antitrust Act” แตก Standard Oil ออกเป็น 34 บริษัทย่อย ในปี 1911 ปิดฉากอาณาจักรน้ำมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ต่อมาบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์คู่สายอย่าง AT&T ก็ได้รับไม้ต่อเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุด ในปี 1929
จากการประดิษฐ์โทรศัพท์เครื่องแรกในปี 1876 โดยนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน อย่างคุณ Alexander Graham Bell 
ซึ่งจะปฏิวัติวิธีการสื่อสารของโลกไปตลอดกาล 
- ช่วงปี 1929-1964 ปฐมบทแห่งหุ้น 7 นางฟ้ารุ่นแรก
ในช่วงเวลานี้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นบนโลกของเรา 2 เหตุการณ์ต่อเนื่องกัน นั่นคือ วิกฤติเศรษฐกิจ The Great Depression และสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่ช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ กลับให้กำเนิดหุ้น 7 นางฟ้ารุ่นแรก ที่สลับกันขึ้นมาเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อันประกอบไปด้วย
1. AT&T บริษัทด้านโทรคมนาคม
2. Standard Oil ที่ถูกแบ่งบริษัทลูกออกไปแล้ว
3. General Motors ผู้ผลิตรถยนต์
4. IBM บริษัทขายเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า และเครื่องคัดแยกข้อมูล
5. General Electric ผู้ผลิตหลอดไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ก่อตั้งโดยคุณ Thomas Edison ผู้คิดค้นหลอดไฟ
6. DuPont ผู้ผลิตดินปืน ดินระเบิด และเคมีภัณฑ์อื่น
7. U.S. Steel ผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่
กลุ่มธุรกิจเหล่านี้ หลายบริษัทได้ประโยชน์จากการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในสงครามโลก เช่น เหล็กกล้าจาก U.S. Steel, ยานยนต์จาก General Motors, ดินระเบิดจาก DuPont, น้ำมันเชื้อเพลิงจาก Standard Oil
ขณะที่ IBM และ General Electric ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่แพร่หลายไปในหลายภาคส่วนมากขึ้น ทั้งผู้บริโภคที่ต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้า และสำนักงานธุรกิจที่ต้องการเครื่องพิมพ์ดีด
และนอกจากอาวุธใหม่สุดทรงพลัง อย่างระเบิดนิวเคลียร์ สงครามโลกครั้งที่ 2 ยังได้ทิ้งเมล็ดพันธุ์บางอย่างไว้ ที่ส่งผลกระทบกับคนทั้งโลกมาจนถึงปัจจุบัน
นั่นคือ เหล่าบริษัทที่เคยช่วยวิจัยเทคโนโลยีทางทหาร ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า ซิลิคอนแวลลีย์ ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นผู้วางรากฐานเทคโนโลยีชิปเซมิคอนดักเตอร์ ชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์ไฟฟ้าที่คนทั่วโลกใช้งานกันอยู่
- ช่วงปี 1964-1989 กำเนิด “Nifty Fifty”
ในช่วงยุคทศวรรษ 1960 และ 1970 เศรษฐกิจสหรัฐฯ รุ่งเรืองถึงขีดสุด จากเศรษฐกิจในประเทศอื่นทั่วโลกกำลังฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 2 
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เกิดกลุ่ม “Nifty Fifty” ที่หมายถึง บริษัทที่ใหญ่ที่สุด 50 บริษัทแรกในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งส่วนมากแล้วจะเป็นหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค เช่น General Electric, Coca-Cola, IBM, Xerox และ Polaroid 
หุ้นกลุ่มนี้มักเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนสถาบัน จนมีหลายคนบอกว่าหุ้นเหล่านี้ เป็นหุ้นที่หลับตาแล้วถือยาวได้เลย
นอกจากนี้แล้ว ยังมีหุ้นบริษัทน้ำมันอย่าง ExxonMobil ที่เป็นหนึ่งในบริษัท ที่ถูกแยกออกมาจาก Standard Oil ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ จากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ที่นำไปสู่วิกฤติราคาน้ำมัน
อีกเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ก็คือ การกำเนิดตลาดหุ้นแห่งใหม่ที่ชื่อ Nasdaq ในปี 1971 เพื่อให้บริษัทสตาร์ตอัปขนาดเล็กในซิลิคอนแวลลีย์ สามารถเข้าถึงการระดมทุนในตลาดหุ้นได้
โดยบริษัทแรกที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq ก็คือ Intel สตาร์ตอัปเล็ก ๆ ในซิลิคอนแวลลีย์ ผู้พัฒนาชิปเซมิคอนดักเตอร์สำหรับการประมวลผลของคอมพิวเตอร์
- ช่วงปี 1990-2007 จุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจดิจิทัล
กว่าจะเป็นโน้ตบุ๊กน้ำหนักเบา ๆ แบบในวันนี้ได้ เมื่อก่อนนั้นคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ใหญ่เสียจนกินพื้นที่ได้เกือบครึ่งห้อง 
ผู้ใช้งานจึงมักจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่มากกว่าคนทั่วไปเหมือนในทุกวันนี้ โดยบริษัทเจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้ก็คือ IBM
สิ่งนี้ทำให้ IBM เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ ExxonMobil ในปี 1990 
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อ Intel สามารถคิดค้นชิปประมวลผลขนาดเล็กที่เรียกว่า CPU ได้สำเร็จ เป็นตัวเปิดทางให้สามารถผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีขนาดเล็กลงมาได้
เมื่อคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง จนสามารถตั้งบนโต๊ะทำงานหรือที่บ้านได้ ทุกคนก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้กันได้ง่ายขึ้น และก่อให้เกิดเศรษฐกิจดิจิทัลขึ้นมา
แต่การที่คอมพิวเตอร์เล็กลงแบบนี้ ไม่ได้มีแค่ ผู้ออกแบบและผลิตชิป อย่าง Intel ที่ได้ประโยชน์จากนวัตกรรมนี้ 
แต่ยังมีหลายธุรกิจ เช่น..
- เจ้าของระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์อย่าง Microsoft
- ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล อย่าง Apple และ HP
ส่วน IBM ที่เคยครองตลาดคอมพิวเตอร์เมนเฟรมที่มีขนาดใหญ่ ก็สูญเสียลูกค้าไปให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ที่มีขนาดเล็กกว่า และประหยัดต้นทุนมากกว่า
นับตั้งแต่ปี 1991 เป็นต้นมา มูลค่าบริษัท IBM จึงลดลงอย่างรวดเร็ว สวนทางกับมูลค่าบริษัทของ Intel, Microsoft และ Apple ที่เพิ่มขึ้น
จนในที่สุดในปี 1998 Microsoft ก็ขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ส่วน Intel ก็กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 3 
ขณะเดียวกันในช่วงเวลานี้ อินเทอร์เน็ต นวัตกรรมที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยกองทัพสหรัฐฯ จากความกลัวว่าขีปนาวุธของสหภาพโซเวียต จะมาทำลายระบบการสื่อสารแบบเดิม ก็เริ่มแพร่หลายมาสู่ประชาชนทั่วไป
อินเทอร์เน็ตจึงกลายเป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจในโลกดิจิทัล ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
แต่สัจธรรมของโลกใบนี้ก็คือ ผู้คนมักจะประเมินผลกระทบของเทคโนโลยีใหม่สูงเกินไปในระยะสั้น แต่กลับประเมินผลกระทบของมันในระยะยาวต่ำเกินไป ก็ทำให้เกิดฟองสบู่ดอตคอมแตกในปี 2001
ถึงอย่างนั้น อินเทอร์เน็ต และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ก็ไม่ได้หายไปไหน พร้อมกับเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนทั่วโลกต่อไป ทำให้หุ้นพื้นฐานดีในกลุ่มนี้เริ่มฟื้นตัวและกลับมาเติบโตในระยะยาวได้อีกครั้ง
- ช่วงปี 2008-2021 กำเนิดสมาร์ตโฟน อวัยวะสำคัญชิ้นที่ 33 ของมนุษย์
ทุกวันนี้หลายคนคงจินตนาการชีวิตที่ไม่มีสมาร์ตโฟนกันไม่ออกแล้ว
ตั้งแต่วันที่ Apple เปิดตัวโทรศัพท์ iPhone รุ่นแรกเมื่อปี 2007 สมาร์ตโฟนก็เริ่มเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก
ที่น่าสนใจก็คือ Apple ไม่มีโรงงานผลิตโทรศัพท์เป็นของตัวเองเลย Apple แค่ทำหน้าที่ออกแบบ และพัฒนาซอฟต์แวร์เท่านั้น จากนั้นก็จ้างโรงงานในจีน ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่ำ เป็นคนผลิตให้
เมื่อ Apple สามารถครองตลาดสมาร์ตโฟนทั้งโลกได้แล้ว Apple ก็สามารถครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดของสหรัฐฯ ได้สำเร็จในปี 2012 และต่อเนื่องมาถึงปี 2024
และเมื่อทุกคนมีสมาร์ตโฟน ที่สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลพุ่งทะยานไปได้ไกลกว่าเดิม
ในช่วงเวลานี้จึงเป็นต้นกำเนิดของหุ้น 7 นางฟ้ายุคใหม่ของสหรัฐฯ ที่ประกอบไปด้วย 7 บริษัทคือ Apple, Microsoft, Nvidia, Meta, Alphabet, Amazon และ Tesla
จะเห็นได้ว่า 6 ใน 7 บริษัท ล้วนเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจบนโลกดิจิทัลทั้งสิ้น ยกเว้น Tesla ที่ทำรถยนต์ไฟฟ้า และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ
- ช่วงปี 2022-ปัจจุบัน เมื่อใคร ๆ ก็มี AI เป็นของตัวเอง
นับตั้งแต่การเปิดตัว Generative AI อย่าง ChatGPT ในปลายปี 2022 ก็ทำให้หุ้นของ Nvidia พุ่งทะยานไปไกล สร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 10 เด้ง ขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดของสหรัฐฯ ได้สำเร็จ 
โดยความสำเร็จนี้มาจากชิปประมวลผล GPU ที่ล้ำสมัยของบริษัท ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในการประมวลผลของ AI อย่างมาก จนถึงขั้นมีรายงานว่าโรงงานผลิตให้ไม่ทันเลยทีเดียว
ความสามารถของ ChatGPT ได้ทำให้คนทั่วโลกตระหนักถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างโดยมนุษย์ 
เป็นแรงกระเพื่อมทำให้คนทั่วไป และองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกต่างเร่งหาวิธีการนำ AI มาใช้ประโยชน์
จะเห็นได้ว่า ตลอดกว่า 200 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนหน้าบริษัทใหญ่สุดอยู่เรื่อย ๆ 
จากการที่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนอยู่ตลอดเวลา โดยไม่สนใจว่านวัตกรรมใหม่นี้ จะไปฆ่านวัตกรรมเก่าของตัวเอง 
รวมทั้งสร้างกฎระเบียบใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม แทนที่จะมองว่าบริษัทใหญ่จะเสียผลประโยชน์มหาศาลแค่ไหน
เช่น การไม่ลังเลที่จะคุมกำเนิดธุรกิจผูกขาด ด้วยการสั่งให้ Standard Oil ต้องแตกออกมาเป็นบริษัทย่อยถึง 34 แห่ง แม้เจ้าของบริษัทจะเป็นคนที่รวยที่สุดในโลก ณ ตอนนั้นก็ตาม 
เรื่องนี้ก็คงอาจเป็นเพราะสหรัฐฯ รู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่า ที่ผ่านมาสหรัฐฯ เป็นมหาอำนาจของโลกได้ ไม่ใช่เพราะการปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทใหญ่ในประเทศ
แต่เป็นการสนับสนุนจิตวิญญาณนักประดิษฐ์ที่ฝังรากลึกอยู่ใน DNA ของชาวอเมริกัน ให้ออกมาสร้างนวัตกรรมและธุรกิจที่เปลี่ยนโลกอยู่เสมอ
ถึงอย่างนั้น ประวัติศาสตร์โลกก็บอกกับเราเสมอว่า ไม่มีใครสามารถอยู่ค้ำฟ้า มหาอำนาจทุกชาติล้วนมีจุดสิ้นสุดของตัวเอง 
นั่นจึงนำไปสู่คำถามที่หลายคนอยากจะรู้คำตอบ ว่าจะมีประเทศไหน สามารถขึ้นมาเขย่าบัลลังก์มหาอำนาจของสหรัฐอเมริกาได้ในอนาคต..
#ลงทุน
#เศรษฐกิจสหรัฐ
#MoneyWheels
References
-เว็บไซต์ลงทุนแมน
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.