
สรุป 3 กลยุทธ์ จัดพอร์ตหุ้นกู้ ที่มืออาชีพใช้ แต่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้
21 พ.ค. 2025
มีเงิน 10 ล้านบาท ซื้อหุ้นกู้ตัวไหนดี ?
หุ้นกู้ A ดอกเบี้ย 5% น่าสนใจไหม ?
หุ้นกู้ A และหุ้นกู้ B เลือกตัวไหนดี ?
นี่คือคำถามยอดฮิตเวลาคนเริ่มลงทุนในหุ้นกู้ เพราะในมุมมองของหลายคน การเลือกหุ้นกู้ดูไม่ซับซ้อน แค่เลือกตัวที่ให้ดอกเบี้ยสูงจากบริษัทที่ดูมั่นคง ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
แต่สำหรับนักลงทุนมืออาชีพ การเลือกว่าจะซื้อหุ้นกู้ตัวไหน เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
เพราะสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ โครงสร้างของพอร์ต ที่ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน ความเสี่ยงที่รับได้ และแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ย
แล้วมีกลยุทธ์อะไรบ้างที่มืออาชีพใช้ และเราสามารถนำมาปรับใช้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเองได้ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
ตราสารหนี้ คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ยเป็นรายงวด และจ่ายคืนเงินต้นเมื่อครบอายุ
หากผู้ออกเป็นภาครัฐ จะเรียกว่า “พันธบัตรรัฐบาล”
แต่ถ้าออกโดยภาคเอกชน จะเรียกว่า “หุ้นกู้”
และแม้คำว่า ตราสารหนี้ จะครอบคลุมทั้งพันธบัตร และหุ้นกู้ แต่ในบทความนี้ เราจะใช้คำว่าหุ้นกู้เป็นหลัก เพราะเป็นเครื่องมือที่นักลงทุนรายย่อยเข้าถึง และนิยมใช้กันมากที่สุด
กลยุทธ์การจัดพอร์ตมีด้วยกันหลายแบบ แต่แบบที่เข้าใจง่าย และเราสามารถนำมาปรับใช้ได้ แบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์
1. กลยุทธ์การลงทุนแบบขั้นบันได หรือ Ladder Strategy
กลยุทธ์นี้คือ การกระจายการลงทุนในหุ้นกู้หลาย ๆ รุ่นที่มีอายุคงเหลือแตกต่างกัน เช่น 1 ปี 3 ปี 5 ปี 10 ปี เพื่อให้แต่ละรุ่นทยอยครบอายุไปเรื่อย ๆ เหมือนขั้นบันไดที่ไล่ระดับ
ข้อดีคือ เราไม่จำเป็นต้องคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า เพราะเมื่อหุ้นกู้ระยะสั้นครบอายุ เราก็สามารถนำเงินที่ได้กลับมาลงทุนต่อในหุ้นกู้รุ่นใหม่ได้ทันที
ถ้าอัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น เราก็จะได้ลงทุนต่อและได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
ในทางตรงกันข้าม หากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลง เราก็ยังมีหุ้นกู้ระยะยาวของเดิมอยู่ในพอร์ต
กลยุทธ์นี้จึงช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยได้ดี และยังช่วยกระจายความเสี่ยง กรณีที่หุ้นกู้บางรุ่นเกิดผิดนัดชำระหนี้ได้อีกด้วย
เพราะหากหุ้นกู้รุ่นใดรุ่นหนึ่งมีปัญหา เรายังมีรุ่นอื่นที่ถืออยู่ ซึ่งกระจายความเสี่ยงออกไป ทำให้ไม่เสียหายทั้งพอร์ต
2. กลยุทธ์การลงทุนแบบบาร์เบล หรือ Barbell Strategy
กลยุทธ์นี้คือ การกระจายเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนหนึ่งลงทุนในหุ้นกู้ระยะสั้น และอีกส่วนลงทุนในหุ้นกู้ระยะยาว ลักษณะคล้ายกับบาร์เบลยกน้ำหนัก
ข้อดีของกลยุทธ์นี้คล้ายกับแบบแรกคือ เราไม่จำเป็นต้องคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า
เพราะในพอร์ตมีทั้งหุ้นกู้ระยะสั้นที่สามารถนำไปลงทุนต่อได้ และหุ้นกู้ระยะยาวที่ช่วยล็อกผลตอบแทนไว้ในระดับสูงแล้ว
อีกข้อดีหนึ่งที่เราสามารถนำเอากลยุทธ์นี้มาปรับใช้ได้คือ การกำหนดสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะกับแนวโน้มของดอกเบี้ย เช่น
ถ้าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็เน้นลงทุนในหุ้นกู้ระยะสั้นมากกว่าระยะยาว เพื่อรอจังหวะลงทุนใหม่ในหุ้นกู้ที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
ถ้าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มปรับตัวลง ก็เน้นลงทุนในหุ้นกู้ระยะยาวมากกว่าระยะสั้น เพื่อล็อกผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า
แต่ถ้าดอกเบี้ยนิ่ง ๆ ก็อาจจะแบ่งสัดส่วนระยะสั้นและระยะยาวอย่างละครึ่งให้มีความสมดุลตามแบบกลยุทธ์เดิม
กลยุทธ์นี้จึงได้ทั้งความคล่องตัว และโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยไม่ต้องเลือกลงทุนแบบสุดทางระหว่างระยะสั้นหรือระยะยาว
3. กลยุทธ์การลงทุนแบบกระสุนปืน หรือ Bullet Strategy
กลยุทธ์นี้คือ การลงทุนในหุ้นกู้ที่ครบอายุในช่วงเวลาเดียวกัน อาจเป็นการเลือกหุ้นกู้เพียงตัวเดียว หรือหลายรุ่นที่ครบกำหนดในปีเดียวกันก็ได้
ลักษณะเหมือนการยิงกระสุนปืนนัดเดียวจบ ทำให้ต้องอาศัยการคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยล่วงหน้าให้แม่นยำพอสมควร
โดยเลือกลงทุนในหุ้นกู้ระยะยาวทั้งหมด หากคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลดลง และเลือกลงทุนระยะสั้นทั้งหมด หากคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้น
ข้อดีคือ เราสามารถล็อกผลตอบแทนไว้ล่วงหน้าได้ทั้งพอร์ต เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าจะได้รับดอกเบี้ยรวมเท่าไรในช่วงเวลานั้น โดยไม่ต้องกังวลว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดในอนาคต
ซึ่งจะเหมาะมากหากลงทุนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มจะลดลง เพราะจะทำให้เราได้รับผลตอบแทนที่สูงอย่างต่อเนื่องจนถึงวันครบอายุ โดยไม่ต้องนำไปลงทุนใหม่ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลง
แต่ในทางกลับกัน หากคาดการณ์ผิด เช่น อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นต่อหลังจากที่เราลงทุนไปแล้ว ก็จะทำให้เราพลาดโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้
ดังนั้นกลยุทธ์นี้จึงเหมาะกับคนที่มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะใช้เงินตอนไหน และมีมุมมองแม่นยำว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับตัวขึ้นหรือลดลงในอนาคต
สรุปทั้ง 3 กลยุทธ์ให้เข้าใจง่าย ๆ อีกครั้ง
- กลยุทธ์ Ladder ทยอยลงทุนในหุ้นกู้หลายช่วงอายุ
ช่วยกระจายความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวน และมีเงินทยอยกลับมาลงทุนต่อได้เรื่อย ๆ
- กลยุทธ์ Barbell ลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อความคล่องตัวและล็อกผลตอบแทน เหมาะกับช่วงที่ทิศทางดอกเบี้ยยังไม่แน่นอน
- กลยุทธ์ Bullet ลงทุนในหุ้นกู้ที่ครบอายุช่วงเดียวกัน ล็อกผลตอบแทนไว้ทั้งพอร์ต เหมาะกับคนที่รู้แน่ชัดว่าอีกกี่ปีจะใช้เงินก้อนนี้
หลังจากรู้จักทั้ง 3 กลยุทธ์แล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การจำชื่อกลยุทธ์ให้ได้ แต่คือการลองย้อนกลับมาถามตัวเองว่า
เรายอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ?
และเป้าหมายทางการเงินของเราคืออะไร ?
เพราะการจัดพอร์ตการลงทุนที่ดีไม่ได้มีสูตรตายตัว แต่มันควรสอดคล้องกับทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ย และจังหวะของชีวิตของเรา
ถ้ารู้แน่ชัดว่าจะใช้เงินก้อนใหญ่ในปีใดปีหนึ่ง กลยุทธ์ Bullet ก็อาจจะตอบโจทย์ เพราะสามารถล็อกผลตอบแทนไว้ให้ครบในช่วงเวลานั้น
แต่ถ้าเราอยากกระจายความเสี่ยง หรือมีเป้าหมายใช้เงินหลังเกษียณ กลยุทธ์ Ladder ก็ดูเหมาะสม เพราะมีเงินทยอยครบกำหนดให้ใช้ได้สม่ำเสมอ
และถ้ายังไม่แน่ใจว่าจะใช้เมื่อไร และอยากให้พอร์ตมีทั้งสภาพคล่องและโอกาสเติบโต กลยุทธ์ Barbell ก็ถือเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่น
เมื่อเข้าใจทั้ง 3 กลยุทธ์แล้ว สิ่งที่ควรทำต่อไป ก็คือ การนำมาปรับใช้ และจัดพอร์ตให้สอดคล้องกับเป้าหมายในแบบที่เหมาะกับตัวเราเอง..
#ลงทุน
#หุ้นกู้
#กลยุทธ์ลงทุน
References
-หนังสือ คู่มือผู้สอนความรู้เรื่องตราสารหนี้ โดย สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย