
สรุปธุรกิจ Sanofi บริษัทผู้อยู่เบื้องหลัง วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่คนไทยฉีดกันทุกปี
22 พ.ย. 2024
ถ้าให้ลองพูดชื่อบริษัทที่มาจากประเทศฝรั่งเศส หลายคนก็น่าจะนึกถึงบริษัทขายสินค้าแฟชั่นแบรนด์หรู เช่น LVMH หรือ Hermès
แต่รู้ไหมว่า ฝรั่งเศสไม่ได้มีดีแค่สินค้าแบรนด์หรู แต่ยังมีบริษัทยาและเวชภัณฑ์ ที่มีความสำคัญต่อสุขภาพของคนทั้งโลกอีกด้วย อย่างบริษัท Sanofi ผู้ผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ที่คนไทยฉีดกันทุกปี
แต่บริษัทแห่งนี้ไม่ได้ขายแค่วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ยารักษาโรคหอบหืด รวมถึงยาและวัคซีนป้องกันโรคอีกมากมาย
แล้วถ้าเราอยากเป็นเจ้าของบริษัทยา ที่คนไทยใช้กันเป็นประจำอย่าง Sanofi ก็สามารถซื้อหุ้นผ่าน DR ในตลาดหุ้นไทย ที่ชื่อว่า SANOFI80 ได้เลย
แล้วบริษัทยาแห่งนี้ มีโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจแค่ไหน ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
Sanofi มีจุดเริ่มต้นมาจากบริษัทน้ำมันแห่งชาติของฝรั่งเศส คือ Elf Aquitaine ต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากธุรกิจน้ำมัน แล้วหันมาตั้งบริษัทลูก เพื่อวิจัยและผลิตยา อาหารสัตว์ รวมถึงเครื่องสำอาง
แม้ Sanofi จะถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1973 แต่บริษัทลูกหลายแห่งที่อยู่ภายใต้ Sanofi กลับมีรากเหง้า ที่ยาวนานกว่าบริษัทขายสินค้าแบรนด์หรู
อย่างเช่น LVMH หรือ Hermès ที่พยายามขายเรื่องราว และความรุ่มรวยของวัฒนธรรมฝรั่งเศสผ่านแบรนด์สินค้าเสียอีก
เพราะ Sanofi เกิดจากการควบรวมกิจการของแล็บทดลองยาหลายแห่งในประเทศฝรั่งเศส เช่น..
- แล็บ Midy ของครอบครัวเภสัชกรชาวฝรั่งเศส ที่ถูกก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1718 เกิดก่อน Louis Vuitton ถึง 136 ปี และเกิดก่อน Hermès ถึง 119 ปี
ต่อมาแล็บแห่งนี้ ถูกควบรวมกับอีกแล็บหนึ่งชื่อว่า Clin Byla และมีชื่อใหม่คือ Clin Midy Group ก่อนที่จะถูกซื้อกิจการโดย Sanofi ในปี 1980
- แล็บ Dausse ที่ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1834 แล็บแห่งนี้ถูกควบรวมกับแล็บอื่นอีกหลายแห่ง จนเกิดเป็นบริษัท Synthélabo ในปี 1970
หลังจากนั้นเพียง 3 ปี L'Oréal บริษัทเครื่องสำอางรายใหญ่ของโลก ก็เข้าซื้อบริษัท Synthélabo
ซึ่งสุดท้ายแล้วในปี 1999 Sanofi ก็ได้ตัดสินใจเข้ามาควบรวมกิจการกับ Synthélabo
และทำให้ L'Oréal กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ของ Sanofi มาจนถึงทุกวันนี้ โดยถือครองหุ้นคิดเป็นสัดส่วน 9%
หลังจากที่ Sanofi ควบรวมกิจการกับ Synthélabo แล้ว บริษัทยังเดินหน้าควบรวมกิจการกับบริษัท Aventis ที่เก่งเรื่องการพัฒนาวัคซีน แถมยังมีฐานลูกค้าในสหรัฐฯ อยู่ในมืออีกด้วย
และผลของการเข้าซื้อ Aventis ที่มีฐานลูกค้าอยู่ในสหรัฐฯ ก็ส่งผลให้ Sanofi มีรายได้ในสหรัฐฯ อยู่ที่ 679,407 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 43% ของรายได้รวมในปี 2023
กลายมาเป็นตลาดหลักแซงหน้าทวีปยุโรป บ้านเกิดของบริษัท ที่มียอดขายอยู่ที่ 381,395 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 24% ของรายได้ปี 2023 เท่านั้น
จากนั้นก็จะเป็นประเทศอื่น ๆ ที่มียอดขายอยู่ที่ 521,152 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 33% ซึ่งในที่นี้ก็รวมถึงประเทศไทย ที่มีการซื้อเวชภัณฑ์หลายอย่าง รวมถึงวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จาก Sanofi อยู่ตลอด
การควบรวมกิจการบริษัทยาอื่น ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญในการวิจัยยาแต่ละประเภท เข้ามาไว้ภายใต้อาณาจักรของตัวเอง นอกจากจะทำให้ Sanofi ขยายเข้าไปในตลาดใหม่ ๆ ได้แล้ว
ยังทำให้ Sanofi มีองค์ความรู้ในการวิจัยและพัฒนายาหลายประเภท ทั้งยาแก้แพ้ แบรนด์ Telfast, ยารักษาโรคหอบหืด แบรนด์ Dupixent และยารักษาโรคฮีโมฟีเลีย หรือภาวะเลือดไหลไม่หยุด แบรนด์ Altuviiio
ทีนี้เราลองมาดูกันดีกว่าว่าปี 2023 ที่ผ่านมา มียาตัวไหนทำเงินให้ Sanofi มากที่สุด
อันดับ 1 Dupixent ยารักษาโรคหอบหืด มียอดขาย 393,250 ล้านบาท เติบโต 34%
อันดับ 2 วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ มียอดขาย 97,954 ล้านบาท หดตัวลง 5.5%
อันดับ 3 วัคซีนป้องกันโปลิโอ / ป้องกันปอดอักเสบ / ป้องกันบาดทะยัก มียอดขาย 79,457 ล้านบาท หดตัวเล็กน้อยเพียง 0.1%
จะเห็นได้ว่ายาที่สร้างรายได้ให้ Sanofi มากที่สุดคือ ยารักษาโรคหอบหืด แถมยังมีอัตราการเติบโตที่ดีอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสำคัญของธุรกิจวิจัยและพัฒนายาอย่าง Sanofi ก็คือ สิทธิบัตรยา มีวันหมดอายุ
ซึ่งสิทธิบัตรของยา Dupixent ที่ทำรายได้ให้บริษัทมากที่สุด จะหมดอายุในปี 2029 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า
ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตยาอย่าง Sanofi จึงต้องลงทุนในการวิจัยและพัฒนายาอยู่เสมอ ให้สามารถต่ออายุสิทธิบัตรไปได้เรื่อย ๆ
เพราะไม่อย่างนั้น ก็อาจทำให้บริษัทคู่แข่งนำยาตัวนี้ไปศึกษา และผลิตยาที่มีประสิทธิภาพดีกว่ามาแย่งส่วนแบ่งรายได้ตรงนี้ไปจนหมดเลยก็ได้..
หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำให้ซื้อหรือขายหุ้นเหล่านี้ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน ก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
#ลงทุน
#DR
#DRวันละตัว
References