คนแบบไหน ที่ตายแล้ว ยังต้องเสียภาษี ? - BillionMoney
“ไม่มีอะไรที่แน่นอน ยกเว้น ความตายและภาษี”
หลายคนน่าจะเคยได้ยินประโยคนี้

คนแบบไหน ที่ตายแล้ว ยังต้องเสียภาษี ?
16 มิ.ย. 2023
เพราะนี่คือประโยคอมตะตลอดกาล ของ Benjamin Franklin หนึ่งในบิดาผู้สร้างชาติและบุคคลสำคัญในยุคเรืองปัญญาของสหรัฐอเมริกา
นอกจากความตายที่เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แล้ว ก็มี “ภาษี” นี่แหละ ที่แม้แต่คนที่ตายไปแล้วก็หนีไม่พ้น
ซึ่งเรื่องน่าสนใจที่จะชวนคุยในวันนี้ ก็เกี่ยวกับเรื่องความตาย และภาษี
เพราะรู้หรือไม่ว่า มีคนบางประเภทที่ถึงจะตายไปแล้ว ก็ยังต้องเสียภาษี..
เพราะรู้หรือไม่ว่า มีคนบางประเภทที่ถึงจะตายไปแล้ว ก็ยังต้องเสียภาษี..
หลายคนคงสงสัยกันแล้วว่า ถ้าเราตายไปแล้ว ยังต้องมาเสียภาษีอีกเหรอ ทำไมกันล่ะ ?
แล้วคนที่ตายไปแล้ว จะลุกขึ้นมาจ่ายภาษีได้อย่างไร ?
BillionMoney จะมาย่อยให้ฟัง
BillionMoney จะมาย่อยให้ฟัง
ปกติแล้วรายได้หลักของรัฐ จะมาจากเงินภาษีที่เก็บจากประชาชน
โดยภาษีที่เราทุกคนน่าจะรู้จักกันดีก็คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคืออะไร ถ้าจะสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ
ภาษีที่ทุกคนต้องจ่ายให้กับรัฐ เมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
โดยเราจะเรียกหน้าที่เสียภาษีตรงนี้ว่ามี “ภาระภาษี” เกิดขึ้น
โดยเราจะเรียกหน้าที่เสียภาษีตรงนี้ว่ามี “ภาระภาษี” เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม คำว่า “บุคคลธรรมดา” ไม่ได้หมายถึง คนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
เพราะแท้จริงแล้วกฎหมายยังรวมถึง คนที่ตายไปแล้วด้วย
เพราะแท้จริงแล้วกฎหมายยังรวมถึง คนที่ตายไปแล้วด้วย
โดยใครก็ตามที่ตายไประหว่างปีภาษี แล้วมีเงินได้ขั้นต่ำถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
กฎหมายกำหนดให้ผู้ตายคนนั้น ยังต้องเสียภาษีให้กับรัฐอยู่
กฎหมายกำหนดให้ผู้ตายคนนั้น ยังต้องเสียภาษีให้กับรัฐอยู่
หรือพูดง่าย ๆ ว่า หน้าที่เสียภาษีไม่ได้จบลงเพราะความตาย ถ้าคนตายมีเงินได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่ต้องเสียภาษี
สำหรับใครที่งงว่า คำว่า “ปีภาษี” คืออะไร อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ
รอบระยะเวลาที่ใช้สำหรับคำนวณภาษี โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม ของปีภาษีนั้น ๆ
ซึ่งก็เป็นการนับรอบระยะเวลาตามปฏิทินอย่างที่เราคุ้นเคยกัน
ซึ่งก็เป็นการนับรอบระยะเวลาตามปฏิทินอย่างที่เราคุ้นเคยกัน
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น
ป้าแดงตายระหว่างปีภาษี 2566 ก็จะหมายความว่า ช่วงเวลาที่ป้าแดงตาย อยู่ในช่วงวันที่ 1 มกราคม 2566 - 31 ธันวาคม 2566 นั่นเอง
ส่วนเหตุผลที่กฎหมายกำหนดให้ผู้ตายยังต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็เป็นเพราะว่า
ถ้ากฎหมายตัดสินให้ ผู้ตายไม่ต้องเสียภาษีในปีภาษีที่ผู้ตายเสียชีวิตเลย
แสดงว่า เงินได้ของผู้ตายที่ได้มาระหว่างปีภาษีที่ผู้ตายเสียชีวิต ก็จะไม่มีภาระภาษีเกิดขึ้น
แสดงว่า เงินได้ของผู้ตายที่ได้มาระหว่างปีภาษีที่ผู้ตายเสียชีวิต ก็จะไม่มีภาระภาษีเกิดขึ้น
ถ้าเป็นแบบนี้ ในทางกฎหมายจะกลายเป็นการตีความที่แปลก
ว่าทำไมเงินได้ก้อนดังกล่าวถึงไม่มีภาระภาษีเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่เงินได้นั้น ก็เกิดขึ้นในช่วงปีภาษีนั้น
ว่าทำไมเงินได้ก้อนดังกล่าวถึงไม่มีภาระภาษีเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่เงินได้นั้น ก็เกิดขึ้นในช่วงปีภาษีนั้น
ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าเกิดกรณีดังกล่าวขึ้น ก็จะส่งผลให้รัฐเก็บภาษีได้น้อยลง
และถ้ามองอีกมุม ก็เหมือนไม่ยุติธรรมกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่ยังต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเต็มจำนวนเท่าเดิมด้วย
ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้ตายที่มีเงินได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด ยังคงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั่นเอง
ทีนี้คำถามต่อมาคือ แล้วคนตายจะจ่ายภาษีได้อย่างไร ?
ปัญหาข้อนี้ กฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดการมรดก ทายาท หรือผู้ครอบครองทรัพย์มรดกของผู้ตาย ต้องทำหน้าที่แทนตัวผู้ตาย เฉพาะในปีภาษีแรกที่ผู้ตายเสียชีวิต
ถ้ายังไม่เข้าใจ ลองมาดูเหตุการณ์สมมติกัน
สมมติว่า นายดำที่เป็นผู้ตาย มีลูก 2 คน คือ นายเขียวและนายขาว
นายดำเป็นมนุษย์เงินเดือน ได้รับเงินเดือนทุกสิ้นเดือน และนายดำยังได้รับค่าเช่าบ้าน ที่นายดำปล่อยเช่าทุกเดือนด้วย
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 เกิดอุบัติเหตุ นายดำโดนรถชนเสียชีวิต
เคสนี้ นายดำยังมีหน้าที่ต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐ ถ้าหากว่า เงินได้ของนายดำในปีภาษี 2566 เมื่อคำนวณแล้ว ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด
และในกรณีนี้ เมื่อไม่มีผู้จัดการมรดก นายเขียวและนายขาวซึ่งเป็นทายาทของนายดำ จะต้องทำหน้าที่จัดการตามที่กฎหมายกำหนดแทนนายดำที่ตายไป
นั่นก็คือ ต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในชื่อของนายดำกับกรมสรรพากรภายในเดือนมีนาคม ปี 2567
เพื่อเสียภาษีของปีภาษี 2566 แทนนายดำ
เพื่อเสียภาษีของปีภาษี 2566 แทนนายดำ
นอกจากนี้ ค่าเช่าบ้านที่ได้มาจากการที่นายดำปล่อยเช่านับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนธันวาคม ปี 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นายดำตายไปแล้ว
ก็ถือว่าเป็นเงินได้ระหว่างปีภาษี 2566 ที่นายดำซึ่งเป็นผู้ตายต้องเสียภาษีด้วย
ก็ถือว่าเป็นเงินได้ระหว่างปีภาษี 2566 ที่นายดำซึ่งเป็นผู้ตายต้องเสียภาษีด้วย
ดังนั้น นายเขียวและนายขาว ซึ่งเป็นทายาท ก็ต้องนำเงินได้ที่ได้รับจากค่าเช่าบ้านครึ่งปีหลัง ไปรวมกับเงินได้จากเงินเดือนของนายดำและค่าเช่าบ้านที่นายดำได้ในครึ่งปีแรก เพื่อเสียภาษีเพิ่มเติม ด้วยนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่ามีการเสียภาษีเงินได้ในชื่อของนายดำ ผู้ตายแล้ว
ต่อมามีการแบ่งเงินค่าเช่าบ้านครึ่งปีหลังที่ได้มา ระหว่างนายเขียวและนายขาว
ต่อมามีการแบ่งเงินค่าเช่าบ้านครึ่งปีหลังที่ได้มา ระหว่างนายเขียวและนายขาว
นายเขียวและนายขาวไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในชื่อของตัวเอง สำหรับเงินก้อนดังกล่าวอีก
โดยกฎหมายจะยกเว้นให้ เพราะถือเป็นการเสียภาษีซ้ำซ้อน
โดยกฎหมายจะยกเว้นให้ เพราะถือเป็นการเสียภาษีซ้ำซ้อน
ทีนี้มันจะมีอีกประเด็น ก็คือว่า
ถ้าหากในปีต่อมา ทรัพย์มรดกของผู้ตายยังแบ่งกันระหว่างทายาทไม่เสร็จสิ้น ภาระทางภาษีเงินได้ จะยังคงอยู่หรือไม่ ?
ถ้าหากในปีต่อมา ทรัพย์มรดกของผู้ตายยังแบ่งกันระหว่างทายาทไม่เสร็จสิ้น ภาระทางภาษีเงินได้ จะยังคงอยู่หรือไม่ ?
คำตอบคือ ยังคงอยู่ ถ้าหากว่าปีถัดมาทรัพย์มรดกของผู้ตายยังคงสร้างเงินได้ และเงินได้ที่เกิดขึ้นเกินเกณฑ์ขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด
โดยทายาท ผู้จัดการมรดก หรือผู้ครอบครองทรัพย์สินของผู้ตายก็ยังคงมีหน้าที่ นำเงินได้ที่เกิดจากกองมรดกที่ยังแบ่งกันไม่เรียบร้อย ไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น
ในปีถัดมาหลังจากที่นายดำตาย นายเขียวและนายขาว ยังตกลงแบ่งบ้านที่ปล่อยเช่า ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกกันไม่ลงตัว ทำให้การโอนบ้านยังไม่เสร็จสิ้น
ในปีถัดมาหลังจากที่นายดำตาย นายเขียวและนายขาว ยังตกลงแบ่งบ้านที่ปล่อยเช่า ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกกันไม่ลงตัว ทำให้การโอนบ้านยังไม่เสร็จสิ้น
ในกรณีนี้ ถ้าหากว่าค่าเช่าบ้านที่ได้รับมา ถึงเกณฑ์เงินได้ที่ต้องเสียภาษี
นายเขียวและนายขาวก็ยังมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ที่เกิดจากค่าเช่าบ้านที่ได้ด้วย
นายเขียวและนายขาวก็ยังมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ที่เกิดจากค่าเช่าบ้านที่ได้ด้วย
โดยภาระทางภาษีนี้จะยังคงอยู่ตลอดไป จนกว่าการแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างทายาทจะเสร็จสิ้น
ซึ่งกรณีแบบนี้ จะไม่ใช่การเสียภาษีเงินได้ในชื่อของผู้ตายอีกต่อไป แต่จะเป็นการเสียภาษีในชื่อของ “กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง” แทน
ซึ่งนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่คำว่า “บุคคลธรรมดา” ไม่ได้หมายถึงคนทั่วไปที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
แต่ยังคงหมายถึง “กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง” ซึ่งเป็นเพียงสิ่งสมมติ อีกด้วย..
สรุปแบบสั้น ๆ อีกทีคือ
คนที่ตายไปแล้วบางคน ก็ยังมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ซึ่งก็คือ คนที่มีเงินได้ในระหว่างปีที่ตาย และเงินได้นั้นถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี
คนที่ตายไปแล้วบางคน ก็ยังมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ซึ่งก็คือ คนที่มีเงินได้ในระหว่างปีที่ตาย และเงินได้นั้นถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี
แถมกองมรดกของคนตาย ที่ทายาทยังแบ่งกันไม่เรียบร้อย แล้วยังสร้างเงินได้อยู่
กองมรดกที่ว่านี้ ถ้ามีเงินได้ถึงเกณฑ์ ก็ต้องเสียภาษี ด้วยเหมือนกัน..
References
-ประมวลรัษฎากร
-https://www.dst.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=4316:06c-01&catid=29&Itemid=180&lang=en
-https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99_%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99
-https://www.ef.com/wwen/english-resources/english-quotes/famous/
-https://www.itax.in.th/pedia/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2/
-ประมวลรัษฎากร
-https://www.dst.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=4316:06c-01&catid=29&Itemid=180&lang=en
-https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99_%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99
-https://www.ef.com/wwen/english-resources/english-quotes/famous/
-https://www.itax.in.th/pedia/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2/