วิเคราะห์ งบการเงิน STARK ทำอย่างไร ไม่ให้ตกหลุมพราง

วิเคราะห์ งบการเงิน STARK ทำอย่างไร ไม่ให้ตกหลุมพราง

9 มิ.ย. 2023
วิเคราะห์ งบการเงิน STARK ทำอย่างไร ไม่ให้ตกหลุมพราง - BillionMoney
ในตอนนี้ ข่าวใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย ที่นักลงทุนต้องรู้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องการทุจริตของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK
STARK มีธุรกิจหลักคือผลิตสายไฟฟ้า มีลูกค้าหลายรายทั้งภาครัฐและเอกชน และยังส่งออกไปขายยังต่างประเทศด้วย
รู้หรือไม่ว่า เมื่อไม่กี่เดือนก่อน STARK มีมูลค่าบริษัทสูงกว่า 30,000 ล้านบาท แถมเคยถูกจัดให้อยู่ในดัชนี SET100 ด้วย
แต่เมื่อถึงกำหนดส่งงบการเงิน ประจำปี 2565 บริษัทกลับไม่ส่งงบการเงิน ในขณะที่ต่อมา คุณวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ได้ออกมายอมรับว่า บริษัทมีการฉ้อโกงทางบัญชีเกิดขึ้น
จึงส่งผลให้เมื่อถึงวันที่หุ้นกลับมาเปิดให้ซื้อขายเป็นการชั่วคราวอีกครั้ง นักลงทุนก็เทขายหุ้น STARK จนในปัจจุบัน มูลค่าบริษัทเหลือเพียง 1,800 ล้านบาท เท่านั้น
หรือก็คือ ผ่านมายังไม่ถึงปี มูลค่าของ STARK หายไปกว่า 94%..
กรณีของ STARK ก็น่าจะเป็นกรณีศึกษา ที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับนักลงทุนหลายคน เพราะเมื่อเราดูงบการเงินของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา เราก็จะสังเกตได้ถึงความผิดปกติหลายอย่าง
แล้วงบการเงินของ STARK มีความผิดปกติอะไรบ้าง ที่เราต้องรู้ ถึงจะไม่ตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงในอนาคต ?
BillionMoney จะวิเคราะห์ให้อ่าน แบบง่าย ๆ
ความผิดปกติและความเสี่ยง ที่พบได้ในงบการเงินของ STARK มีอยู่ด้วยกัน 3 ข้อ
1.บริษัทมีหนี้สูง
ถ้าหากเราลองมาดูงบการเงินของ STARK ในปัจจุบันจะพบว่า บริษัทมีหนี้สินสำคัญรวมกันกว่า 15,300 ล้านบาท แบ่งเป็น
-หุ้นกู้ 6,700 ล้านบาท
-หนี้เงินกู้ยืมธนาคาร 8,600 ล้านบาท
ในขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท อยู่ที่ 8,600 ล้านบาท เมื่อเทียบกับหนี้ที่มีดอกเบี้ย จะคำนวณ D/E ได้ 1.8 เท่า
การที่บริษัทมีหนี้สินที่มาก ก็ทำให้บริษัทต้องแบกรับต้นทุนทางการเงินที่มากตามไปด้วย เช่น การจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคาร และดอกเบี้ยหุ้นกู้
2.บริษัทมีปัญหาเรื่องวงจรเงินสด
วงจรเงินสด เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดสภาพคล่องของการทำธุรกิจ ตั้งแต่วันที่ได้รับวัตถุดิบ มาผลิตเป็นสินค้าหรือบริการ ไปจนถึงวันที่เก็บเงินจากลูกค้า โดยนำมาเทียบกับระยะเวลาจ่ายคืนหนี้ ให้กับเจ้าหนี้การค้า
วงจรเงินสดมีหน่วยในการวัดเป็นวัน และสามารถคำนวณโดยนำ ระยะเวลาขายสินค้า + ระยะเวลาเก็บหนี้ - ระยะเวลาจ่ายหนี้
หากเราลองย้อนไปดูตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา จนถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 เราจะพบว่า บริษัท STARK มี
-ระยะเวลาขายสินค้า เพิ่มขึ้นจาก 161 วัน มาเป็น 210 วัน
-ระยะเวลาเก็บหนี้ เพิ่มขึ้นจาก 102 วัน มาเป็น 210 วัน
-ระยะเวลาจ่ายหนี้ เพิ่มขึ้นจาก 198 วัน มาเป็น 310 วัน
ส่งผลให้วงจรเงินสดของ STARK เพิ่มขึ้นจาก 65 วัน มาเป็น 110 วัน
สรุปง่าย ๆ ก็คือ ในช่วงเวลาของการทำธุรกิจที่ผ่านมา วงจรเงินสดของ STARK ยาวนานขึ้น
การที่บริษัทมีวงจรเงินสดยาว หมายความว่า บริษัทมีความเสี่ยงที่จะขาดสภาพคล่องในการทำธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น
และอาจจะมีเงินไม่เพียงพอ เพื่อนำมาใช้หมุนเวียนในการทำธุรกิจ ทำให้บริษัทอาจจะต้องกู้เงินมา เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง
3.กระแสเงินสดอิสระของบริษัท ติดลบติดต่อกันถึง 5 ไตรมาส
กระแสเงินสดอิสระ จะช่วยให้เราตรวจสอบได้ว่า บริษัทแต่ละแห่งนั้น มีสุขภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งจริง ๆ หรือมีการตกแต่งทางบัญชี เพื่อหลอกลวงนักลงทุนที่ไม่มีความละเอียดรอบคอบกันแน่
ถ้าเราไปย้อนดูข้อมูลของ STARK เราจะเห็นว่า นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 เป็นต้นมา จนถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2565
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ STARK ติดลบกันมาอย่างต่อเนื่อง
หมายความว่า ที่ผ่านมาเป็นระยะเวลาถึง 5 ไตรมาส หรือหนึ่งปีเศษ แม้ว่า STARK จะทำธุรกิจ มีรายได้และกำไรที่เติบโตขึ้น แต่บริษัทกลับไม่มีกระแสเงินสดจากการทำธุรกิจ ไหลเข้ามาในบริษัทเลย
นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 STARK มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ติดลบกว่า 1,000 ล้านบาท มาโดยตลอด
แต่ในขณะเดียวกัน STARK เอง ก็จะต้องจ่ายเงินในการลงทุนเพื่อผลิตสินค้าและบริการเช่นกัน
ทว่าจากการที่ STARK มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ ก็เลยทำให้ กระแสเงินสดอิสระของบริษัทติดลบตามไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565
-บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน -1,798 ล้านบาท
-มีรายจ่ายเพื่อการลงทุน -182 ล้านบาท
ส่งผลให้ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 STARK มีกระแสเงินสดอิสระ -1,980 ล้านบาท
การที่กระแสเงินสดอิสระติดลบนั้น สามารถบ่งชี้ได้ว่า บริษัทอาจไร้ความสามารถในการเก็บเงินจากลูกค้า และมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในการทำธุรกิจอยู่สูงมาก
คำถามที่ชวนสงสัยต่อนักลงทุนก็คือ ถ้าในเมื่อบริษัท ดูมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในการทำธุรกิจ แล้วบริษัทเอาเงินจากที่ไหน มาหมุนเวียนในการทำธุรกิจ ?
คำตอบก็คือ เงินกู้ยืม นั่นเอง
โดยที่ผ่านมา STARK มีการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้ มาอย่างต่อเนื่อง
จากข้อสังเกตทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นตัวบ่งบอกถึงสัญญาณเตือนของความเสี่ยง ให้แก่นักลงทุนได้พอสมควรแล้ว
ดังนั้น บทความนี้ ก็น่าจะเป็นบทเรียนที่ดี สำหรับนักลงทุนทุกคน เพื่อให้รู้เท่าทันสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในงบการเงิน เวลาที่ทำการศึกษา และวิเคราะห์กิจการของบริษัท
อย่างกรณีของ STARK เองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ มีมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาท แต่กลับถูกพบว่า ทุจริต จนทำให้มูลค่าที่เคยมี และความน่าเชื่อถือที่เคยได้รับ หายไปจนแทบไม่เหลืออะไรเลย..
References
-https://www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/STARK/financial-statement/company-highlights
-หนังสือ Gone Fishing with Buffett (2012) โดย Sean Seah
-หนังสือ Getting Started in Value Investing (2007) โดย Charles S. Mizrahi
-https://www.youtube.com/watch?v=ZHQhXedaPl4
-https://weblink.set.or.th/dat/news/202305/0832NWS240520230844510669T.pdf
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.