“ก๋วยเตี๋ยว” เครื่องมือ กระตุ้นเศรษฐกิจไทย สมัยสงครามโลก - BillionMoney
ปกติแล้ว รัฐบาลจะมีเครื่องมือหรือนโยบาย ที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงิน, การลดภาษี หรือการพักหนี้ เป็นต้น

“ก๋วยเตี๋ยว” เครื่องมือ กระตุ้นเศรษฐกิจไทย สมัยสงครามโลก
17 พ.ค. 2023
แต่รู้หรือไม่ว่าในช่วงเวลาหนึ่ง ประเทศไทยได้เคยมีการใช้ เมนูที่หาได้ทั่วไปในปัจจุบันนี้อย่าง “ก๋วยเตี๋ยว” เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งกำลังบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย
และถ้าหากคุณสงสัยว่า ก๋วยเตี๋ยว ถูกใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้อย่างไร ในวันนี้ ?
BillionMoney จะย่อยให้เข้าใจ
ชาวไทยนั้นรู้จักก๋วยเตี๋ยวมาเป็นเวลาช้านาน โดยมีข้อสันนิษฐานว่า ก๋วยเตี๋ยวนั้น น่าจะเข้ามายังไทยในสมัยอยุธยา จากการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวจีนในขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม ก๋วยเตี๋ยวก็ยังไม่ได้เป็นที่นิยมในหมู่ของชาวไทยมากนัก เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการบริโภคกันในหมู่ชาวจีนมากกว่า
จนกระทั่งในปี 1942 ด้วยไฟสงครามที่เริ่มลามมาถึง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ
ก็ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไทย ณ ขณะนั้น ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จนเกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ เห็นได้จาก GDP ของประเทศไทยในขณะนั้น ที่หดตัวลงมากถึง 10%
ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในตอนนั้น พยายามหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังตกต่ำ ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ใช้ในตอนนั้น ก็คือการให้คนไทยทั้งบริโภคและขาย “ก๋วยเตี๋ยว”
โดยนโยบายของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นั้น ก็คือการที่รัฐบาล จะให้เงินกู้ยืมจำนวนหนึ่งกับพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องการประกอบอาชีพขายก๋วยเตี๋ยว โดยไม่คิดดอกเบี้ย
ซึ่งผู้ดำเนินนโยบายในครั้งนี้ ก็คือกรมประชาสงเคราะห์ หรือก็คือ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ในปัจจุบัน เป็นผู้ดำเนินการ
โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เชื่อว่า การที่พ่อค้าแม่ค้ามีรายได้จากการขายก๋วยเตี๋ยวนั้น จะทำให้พวกเขานำเงินที่ได้ส่วนหนึ่ง ไปจ่ายเป็นค่าแรงของลูกจ้าง และอีกส่วนหนึ่งก็นำไปซื้อผักและเนื้อสัตว์ต่าง ๆ จากเกษตรกร
จากนั้นลูกจ้างร้านก๋วยเตี๋ยว ก็จะนำเงินที่ได้ไปซื้อสินค้าอื่น ๆ ส่วนเกษตรกรก็จะนำเงินไปซื้อปุ๋ย จากร้านขายสินค้าเกษตร และทำให้เกิดการใช้จ่ายกันต่อไปเป็นทอด ๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวม เติบโตได้ในที่สุด
ซึ่งแนวคิดนี้ก็สอดคล้องกับคำพูดของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่เคยกล่าวไว้ว่า
“หากพี่น้องชาวไทยกินก๋วยเตี๋ยวคนละหนึ่งชามทุกวัน วันหนึ่งจะมีคนกินก๋วยเตี๋ยวสิบแปดล้านชาม ค่าก๋วยเตี๋ยวของชาติไทยหนึ่งวันเท่ากับเก้าสิบล้านสตางค์ หรือเท่ากับเก้าแสนบาท
เป็นจํานวนเงินหมุนเวียนมากพอใช้ เงินเก้าแสนบาทนั้นก็จะไหลไปสู่ชาวไร่ ชาวนา ชาวทะเลโดยทั่วกัน ไม่ตกไปอยู่ในมือของใครคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว”
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลให้ชาวบ้านกู้ยืมเงิน เพื่อไปลงทุนประกอบอาชีพค้าขายก๋วยเตี๋ยวนั้น ก็เป็นเหมือนการที่รัฐบาลอัดฉีดเงิน เข้าไปยังเศรษฐกิจโดยตรง ทำให้เศรษฐกิจไทย สามารถเติบโตได้อีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็เริ่มเห็นผลในช่วงปี 1943 หรือ 1 ปีหลังจากเริ่มรณรงค์ให้คนไทยบริโภคและขายก๋วยเตี๋ยว
สังเกตจากรายได้ต่อหัวของประเทศไทย ที่ถูกปรับเงินเฟ้อให้เป็นค่าเงินในปัจจุบัน ตั้งแต่ช่วงปี 1941 ถึงปี 1945 จะพบว่า
ปี 1941 รายได้ต่อหัวของชาวไทย อยู่ที่ 65,400 บาทต่อปี
ปี 1942 รายได้ต่อหัวของชาวไทย อยู่ที่ 57,700 บาทต่อปี
ปี 1943 รายได้ต่อหัวของชาวไทย อยู่ที่ 62,800 บาทต่อปี
ปี 1944 รายได้ต่อหัวของชาวไทย อยู่ที่ 59,000 บาทต่อปี
ปี 1945 รายได้ต่อหัวของชาวไทย อยู่ที่ 53,200 บาทต่อปี
ปี 1942 รายได้ต่อหัวของชาวไทย อยู่ที่ 57,700 บาทต่อปี
ปี 1943 รายได้ต่อหัวของชาวไทย อยู่ที่ 62,800 บาทต่อปี
ปี 1944 รายได้ต่อหัวของชาวไทย อยู่ที่ 59,000 บาทต่อปี
ปี 1945 รายได้ต่อหัวของชาวไทย อยู่ที่ 53,200 บาทต่อปี
จะเห็นว่า รายได้ต่อหัวของประเทศไทยในปี 1943 ได้เติบโตขึ้นมาเกือบ 9% จากปี 1942 ที่ได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ และได้รับผลกระทบจากสงคราม
ก่อนจะลดลงในปี 1944 ซึ่งเป็นช่วงที่ฝ่ายสัมพันธมิตร เข้ามาปฏิบัติการทิ้งระเบิดในไทย และลดลงอีกในปี 1945 ที่สงครามจบลง และไทยต้องเป็นผู้จ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่ง ก็อาจไม่ใช่ผลจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการรณรงค์ให้บริโภคก๋วยเตี๋ยวของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพียงอย่างเดียว
ถึงอย่างนั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยวิธีการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับประชาชน ผ่านการรณรงค์ให้คนไทยบริโภคและซื้อขายก๋วยเตี๋ยว ก็เป็นวิธีการที่ค่อนข้างน่าสนใจมากทีเดียว
และผลจากนโยบายนี้เอง ก็ได้ทำให้ ก๋วยเตี๋ยว กลายมาเป็นเมนูง่าย ๆ ที่เราสามารถหากินได้ทั่วไป มาจนถึงปัจจุบันนี้..