รู้จักกลยุทธ์ “Bond Ladders” ที่ช่วยลดความผันผวน ให้คนซื้อหุ้นกู้

รู้จักกลยุทธ์ “Bond Ladders” ที่ช่วยลดความผันผวน ให้คนซื้อหุ้นกู้

7 ก.พ. 2023
รู้จักกลยุทธ์ “Bond Ladders” ที่ช่วยลดความผันผวน ให้คนซื้อหุ้นกู้ - BillionMoney
หลายคนน่าจะรู้จัก ตราสารหนี้ หรือที่เราคุ้นเคยกันในรูปแบบของ หุ้นกู้ หรือพันธบัตรรัฐบาล อยู่แล้ว
ถึงแม้ตราสารหนี้จะเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาดอยู่
อย่างเช่น ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดมีการปรับขึ้น
ผู้ที่เคยซื้อตราสารหนี้ และรับอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า
ก็จะเสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทน ตามอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่สูงขึ้น
และยิ่งตราสารหนี้ชุดเดิม มีระยะยาวเท่าไร ก็ยิ่งเสียโอกาสมากเท่านั้น
แต่ถ้าหากอยากจะขายตราสารหนี้ชุดเก่าทิ้ง เพื่อไปซื้อตราสารหนี้ชุดใหม่ที่ได้ดอกเบี้ยสูงกว่าแทน ก็จะต้องขายในราคาที่ขาดทุน
เพราะอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ชุดเก่า ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ชุดใหม่ในตลาดนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม มีกลยุทธ์หนึ่งชื่อว่า “Bond Ladders”
ที่สามารถช่วยลดความผันผวนนี้ ให้กับพอร์ตตราสารหนี้ของเราได้
โดย Bond Ladders มีหลักการอย่างไรนั้น
BillionMoney จะมาย่อยให้ฟัง แบบเข้าใจง่าย ๆ
“Bond Ladders” แปลตรงตัวก็คือ ตราสารหนี้แบบขั้นบันได
หลักการของกลยุทธ์ Bond Ladders คือ การแบ่งเงินเป็นจำนวนเท่า ๆ กัน ซื้อตราสารหนี้ที่มีอายุครบกำหนดต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงินอยู่ 1 ล้านบาท อาจแบ่งซื้อตราสารหนี้ได้เป็นดังนี้
ตราสารหนี้อายุ 2 ปี ที่มีอัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปีตราสารหนี้อายุ 4 ปี ที่มีอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปีตราสารหนี้อายุ 6 ปี ที่มีอัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปีตราสารหนี้อายุ 8 ปี ที่มีอัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปีตราสารหนี้อายุ 10 ปี ที่มีอัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี
โดยซื้อรุ่นละ 200,000 บาทเท่า ๆ กัน
ข้อดีของกลยุทธ์นี้คือ
หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับขึ้น เราก็ยังมีตราสารหนี้ระยะสั้นอยู่ในพอร์ต ซึ่งเมื่อครบกำหนดก็สามารถนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ชุดใหม่ ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเดิมได้ โดยไม่ต้องอดทนถือนานหลายปี
หรือหากอัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง เราก็ยังมีตราสารหนี้ระยะยาวอยู่ในพอร์ต ที่จะช่วยคงผลตอบแทนในอัตราดอกเบี้ยที่สูง เช่นกัน
โดยจากตัวอย่างที่กล่าวไป เมื่อคำนวณ พบว่า จะได้รับดอกเบี้ยเฉลี่ยปีละ 40,000 บาท หรือคิดเป็น 4% ต่อปี
ซึ่งจะเป็นผลตอบแทนที่มีความสม่ำเสมอ ตามอายุของตราสารหนี้
และจะเห็นได้ว่าทุก ๆ 2 ปี จะมีตราสารหนี้ที่ครบกำหนดอายุ ซึ่งเป็นข้อดีที่จะทำให้เรามีสภาพคล่องทางการเงินที่มากกว่าการซื้อตราสารหนี้ที่อายุเดียว
โดยถ้าเรายังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ก็สามารถนำเงินต้น 200,000 บาท ที่ครบกำหนดอายุ กลับไปลงทุนใหม่ในตราสารหนี้อายุ 10 ปีได้ เพื่อเป็นการรักษารูปแบบพอร์ตต่อไป
ซึ่งจะช่วยให้เราได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นด้วย เพราะพอร์ตการลงทุนของเราจะกลายเป็น
ตราสารหนี้อายุ 4 ปี ที่มีอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปีตราสารหนี้อายุ 6 ปี ที่มีอัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปีตราสารหนี้อายุ 8 ปี ที่มีอัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปีตราสารหนี้อายุ 10 ปี ที่มีอัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปีตราสารหนี้อายุ 10 ปี ที่มีอัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี
รุ่นละ 200,000 บาทเท่า ๆ กันเหมือนเดิม
ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 48,000 บาท หรือคิดเป็น 4.8% ต่อปี
นอกจากนี้ อีกหนึ่งข้อดีของกลยุทธ์นี้คือ สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ลงทุนได้
เช่น หากใครต้องการให้พอร์ตมีสภาพคล่องที่มากขึ้น ก็สามารถซื้อตราสารหนี้ให้มีอายุห่างกันเพียง 1 ปีแทน 2 ปีได้ โดยอาจจะเป็น
ตราสารหนี้อายุ 1 ปีตราสารหนี้อายุ 2 ปีตราสารหนี้อายุ 3 ปีตราสารหนี้อายุ 4 ปีตราสารหนี้อายุ 5 ปี
โดยจะได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน และต่อเนื่องเช่นกัน แต่จะมีสภาพคล่องที่มากขึ้น เพราะจะมีตราสารหนี้ที่ครบกำหนดอายุทุกปี
หรือถ้าใครอยากได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น ก็สามารถซื้อตราสารหนี้ที่มีอายุมากขึ้นได้ แต่ก็ต้องแลกกับสภาพคล่องที่ลดลง
และจากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า Bond Ladders คือกลยุทธ์ที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย และยังช่วยสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
แม้ว่ากลยุทธ์ Bond Ladders ที่แบ่งการลงทุนในหลายรุ่นอายุ อาจจะให้ผลตอบแทนต่อปีที่น้อยกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวแบบก้อนใหญ่ก้อนเดียว
แต่สิ่งที่ได้มานั่นก็คือ สามารถลดความผันผวน ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาดได้
และยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับการลงทุนได้อีกด้วย
ซึ่งทั้งคู่เป็นผลดีสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีรายได้ที่ต่อเนื่อง เช่น ผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณ เป็นต้น..
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.