เมื่อวาน กสทช. มีมติรับทราบให้ TRUE และ DTAC ควบรวมกันได้เรียบร้อยแล้ว
แต่ประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างยาวนานในที่ประชุม คือ มาตรการที่จะต้องบังคับใช้ภายหลังการควบรวม

กสทช. เห็นชอบให้ TRUE-DTAC ควบรวมได้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น ?
21 ต.ค. 2022
การควบรวมระหว่าง TRUE และ DTAC จึงเป็นการควบรวมแบบมีเงื่อนไข
เงื่อนไขดังกล่าวมีอะไรบ้าง และจะส่งผลกระทบกับค่าใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของเราในอนาคตอย่างไร
เงื่อนไขดังกล่าวมีอะไรบ้าง และจะส่งผลกระทบกับค่าใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของเราในอนาคตอย่างไร
วันนี้ทาง BillionMoney ได้รับเกียรติจากคุณวสุ มัทนพจนารถ ผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่มาวิเคราะห์ให้ฟัง แบบเข้าใจง่าย ๆ
เงื่อนไขแรกคือ มาตรการ Duo Brands ซึ่งเป็นการกำหนดให้ทำธุรกิจแยกเป็น 2 แบรนด์ไปก่อน ภายหลังจากที่มีการควบรวมสำเร็จแล้ว เป็นระยะเวลา 3 ปี
แปลว่าอีก 3 ปีต่อจากนี้ เราก็จะยังเห็นแบรนด์ TrueMove H และ DTAC อยู่
เพื่อให้ผู้บริโภคปรับตัวได้
เพื่อให้ผู้บริโภคปรับตัวได้
เงื่อนไขที่ 2 คือ เรื่องการครอบคลุมการให้บริการ 5G ภายในระยะเวลา 3 ปี หลังจากการควบรวม การให้บริการสัญญาณ 5G ต้องคิดเป็น 85% ของประชากรไทย
และยังมีเงื่อนไขอื่น ที่ออกมาเพื่อคุ้มครองคู่ค้าเดิม และผู้บริโภคอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ยังมีอีก 3 มาตรการ ที่อาจเป็นอุปสรรคให้การควบรวมกันทำได้ยากขึ้น
และยังไม่มีความชัดเจน คือ
และยังไม่มีความชัดเจน คือ
1.มาตรการควบคุมราคา
2.มาตรการการใช้สัญญาสัมปทานคลื่นความถี่เดิม ว่าจะใช้ร่วมกันได้มากน้อยแค่ไหน
3.จำนวนเสาโทรคมนาคมอาจลดลงไม่ได้
2.มาตรการการใช้สัญญาสัมปทานคลื่นความถี่เดิม ว่าจะใช้ร่วมกันได้มากน้อยแค่ไหน
3.จำนวนเสาโทรคมนาคมอาจลดลงไม่ได้
ประเด็นการควบคุมราคา ทาง กสทช. กำหนดว่าต้องลดค่าธรรมเนียมการให้บริการลง 12% โดยคิดเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักกับจำนวนผู้ใช้บริการ
ประเด็นนี้ยังไม่มีความชัดเจน ว่าต้องมีการคำนวณผู้ใช้บริการอย่างไร เพราะถ้าคิดจากค่าบริการในปัจจุบัน จะทำให้เมื่อมีการควบรวมกันแล้ว รายได้จะลดลงทันที 12%
นั่นจะทำให้การควบรวม ส่งผลเสียมากกว่าการไม่ควบรวม
ขณะที่ถ้าคิดจากเพดานราคาสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งทุกวันนี้ก็ไม่มีใครตั้งราคาใกล้กับเพดานราคาเลย ก็แทบจะไม่ส่งผลกระทบกับรายได้เลย
ยกตัวอย่างเช่น ค่าบริการอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน มีการกำหนดเพดานราคาอยู่ที่ 160 บาท ต่อ GB
ซึ่งทุกวันนี้ก็ไม่มีใครจ่ายในราคานี้อยู่แล้ว
ซึ่งทุกวันนี้ก็ไม่มีใครจ่ายในราคานี้อยู่แล้ว
ประเด็นต่อมา คือ การใช้สัญญาสัมปทานคลื่นความถี่เดิม ว่าจะใช้ร่วมกันได้มากน้อยแค่ไหน
ประเด็นนี้ยังไม่มีความชัดเจน ว่าจะใช้ร่วมกันได้ไหม
ประเด็นนี้ยังไม่มีความชัดเจน ว่าจะใช้ร่วมกันได้ไหม
ซึ่งทาง TRUE และ DTAC เอง ก็อยากให้มีการรวมสัญญาสัมปทานอยู่ภายใต้การบริหารโดยบริษัทเดียว
เพื่อให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการบริหารลงได้ และการลงทุนจะได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพื่อให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการบริหารลงได้ และการลงทุนจะได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
หากไม่ให้รวมคลื่นความถี่ แต่สามารถใช้เครือข่ายข้ามกันได้ ก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างเสาสัญญาณ 2 ต้น ซึ่งในกรณีนี้ก็ยังถือว่าส่งผลดีต่อการควบรวมอยู่
แต่ถ้า กสทช. ไม่ให้รวมคลื่น และไม่ให้ใช้เครือข่ายข้ามกันได้ ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการควบรวม
ประเด็นสุดท้าย คือ เรื่องการห้ามลดจำนวนเสาสัญญาณ เพราะมีความกังวลว่าคุณภาพของสัญญาณอาจลดลง
ประเด็นนี้ค่อนข้างมีความชัดเจนว่าจะมีการบังคับใช้อย่างแน่นอน
ประเด็นนี้ค่อนข้างมีความชัดเจนว่าจะมีการบังคับใช้อย่างแน่นอน
ซึ่งจะทำให้การลดต้นทุนทำได้ยากมาก ภายหลังจากการควบรวมเป็นบริษัทใหม่
คาดว่าหากลดเสาสัญญาณลงได้ ก็จะช่วยลดต้นทุนไปได้มากถึง 4,000 ล้านบาท
ซึ่งมากกว่าผลขาดทุนของ TRUE ในครึ่งปีนี้ ที่อยู่ที่ 2,378 ล้านบาท
คาดว่าหากลดเสาสัญญาณลงได้ ก็จะช่วยลดต้นทุนไปได้มากถึง 4,000 ล้านบาท
ซึ่งมากกว่าผลขาดทุนของ TRUE ในครึ่งปีนี้ ที่อยู่ที่ 2,378 ล้านบาท
ถ้าทั้ง 3 ประเด็นดังกล่าว เริ่มมีความชัดเจน และเป็นประโยชน์ต่อการควบรวมทั้งหมด
ในปี 2569 เป็นต้นไป จะสามารถประหยัดต้นทุนได้มากกว่า 17,000 ล้านบาทต่อปี
ในปี 2569 เป็นต้นไป จะสามารถประหยัดต้นทุนได้มากกว่า 17,000 ล้านบาทต่อปี
แบ่งเป็นการลดภาระการลงทุนในเครือข่าย ปีละ 8,000 ล้านบาท
และการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอีก 9,800 ล้านบาท
และการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอีก 9,800 ล้านบาท
สำหรับความเป็นไปได้ที่ดีลจะล่ม ในมุมมองของคุณวสุ มองว่าเป็นไปได้น้อยมาก
โดยต่อจากนี้เป็นเรื่องของการเจรจาให้ลงตัวกันมากกว่า
โดยต่อจากนี้เป็นเรื่องของการเจรจาให้ลงตัวกันมากกว่า
สำหรับมุมมองของราคาหุ้นทั้ง 2 ตัว มองว่าสิ่งต่อไปที่นักลงทุนจับตามองคือ การทำคำเสนอซื้อหุ้นโดยสมัครใจ เพื่อโอนหุ้นเข้าไปในบริษัทใหม่
ประเด็นนี้คุณวสุ มองว่าราคาหุ้น DTAC มีโอกาสปรับตัวขึ้นมากกว่า TRUE
เพราะราคาตลาดในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำกว่าราคาที่เสนอซื้อ โดยบริษัทใหม่อยู่ที่ 47.76 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ราคาเสนอซื้อหุ้น TRUE อยู่ที่ 5.09 บาทต่อหุ้น
เพราะราคาตลาดในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำกว่าราคาที่เสนอซื้อ โดยบริษัทใหม่อยู่ที่ 47.76 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ราคาเสนอซื้อหุ้น TRUE อยู่ที่ 5.09 บาทต่อหุ้น
เมื่อมีการควบรวมกันจนเหลือบริษัทแค่ 2 รายในอุตสาหกรรม จะเป็นอย่างไร ?
ในระยะสั้น ปี 2566 จะมีการแข่งขันที่รุนแรงอยู่ และจะเป็นจังหวะทองของ AIS ในการดึงฐานลูกค้ามากขึ้น ในช่วงที่ TRUE กับ DTAC กำลังยุ่งอยู่กับการจัดระเบียบภายในบริษัทใหม่
หลังจากปี 2567 เป็นต้นไป ก็จะเริ่มเห็นการแข่งขันที่น้อยลง และมีโอกาสที่จะได้เห็นการปรับเพิ่มขึ้น ของค่าบริการโทรศัพท์มือถือที่สูงมาก
ขณะที่คู่แข่งรายใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดนี้ก็ยากมาก เพราะเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูง
โดยคุณวสุมองว่า ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการควบรวมในครั้งนี้ ไม่ใช่ทั้ง TRUE และ DTAC แต่กลับเป็น ADVANC
โดยคุณวสุมองว่า ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการควบรวมในครั้งนี้ ไม่ใช่ทั้ง TRUE และ DTAC แต่กลับเป็น ADVANC
-ในระยะสั้นถึงระยะกลาง ADVANC จะได้รับประโยชน์ จากการดึงผู้ใช้งานมาได้ ในช่วงที่มีการปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ของ TRUE และ DTAC
-ในระยะยาวก็ได้ประโยชน์จากการมีคู่แข่งที่ลดลง จนส่งผลให้อัตรากำไรเพิ่มขึ้น
-ในระยะยาวก็ได้ประโยชน์จากการมีคู่แข่งที่ลดลง จนส่งผลให้อัตรากำไรเพิ่มขึ้น
หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน