Fat-Finger กรณีศึกษา “นิ้วเบียด” ขายหุ้นผิด ขาดทุน 7,000 ล้าน

Fat-Finger กรณีศึกษา “นิ้วเบียด” ขายหุ้นผิด ขาดทุน 7,000 ล้าน

9 ต.ค. 2022
ในชีวิตประจำวันของเรา อาจจะพบเจอกับเหตุการณ์ที่เรียกว่า “นิ้วเบียด”
จนพิมพ์ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ตั้งใจไว้ ซึ่งก็อาจไม่ได้ร้ายแรงมากนัก
หากเป็นแค่การพิมพ์ข้อความคุยกันกับเพื่อน
แต่วันนี้ เราลองมาดูอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากนิ้วเบียด
ที่แทบจะร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของการลงทุน
เพราะมีนักซื้อขายหุ้นคนหนึ่ง พิมพ์ผิดจนบริษัทขาดทุนมากถึง 7,000 ล้านบาท..
เขาคนนั้น คือใคร
เรื่องนี้ เกิดขึ้นที่ไหน ?
BillionMoney จะมาสรุปให้แบบเข้าใจง่าย ๆ
เหตุการณ์นิ้วเบียดระหว่างการเทรดนั้น มีชื่อเรียกว่า “Fat Finger Error”
ใช้อธิบายพฤติกรรมของเทรดเดอร์ ที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการซื้อขายหุ้น
คีย์คำสั่งซื้อขายผิดพลาด จากการกดผิดไปจากที่ตั้งใจไว้มาก
นิ้วเบียด ถือเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์อีกเรื่องหนึ่ง ที่มักจะถูกมองออกได้ง่าย
เนื่องจากการส่งคำสั่งซื้อขาย หากมากเกินไปจนผิดสังเกต ก็จะถูกยกเลิก ก่อนที่จะเกิดความเสียหายจริง
ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2014
มีเทรดเดอร์ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ได้ส่งคำสั่งซื้อหุ้น เช่น Canon, Honda, Toyota และ Sony พร้อมทั้งบริษัทอื่น ๆ รวมกว่า 42 บริษัท ด้วยจำนวนเงินที่รวมแล้ว มากถึง 23 ล้านล้านบาท ในปัจจุบัน..
โดยในรายของ Toyota นั้น เทรดเดอร์นิรนามคนนี้ ได้ขอซื้อหุ้นมากถึง 1,960 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 57% ของหุ้นบริษัท Toyota ทั้งหมด
รู้หรือไม่ว่า จำนวนเงินที่เขาได้ทำการสั่งซื้อหุ้นนั้น ก็เป็นจำนวนเงินที่มากกว่า GDP ของประเทศสวีเดน ในตอนนั้นเสียอีก..
แต่โชคยังดีที่เทรดเดอร์คนนี้ ยังไม่ได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Toyota และต้องเสียเงินเท่ากับขนาดเศรษฐกิจของประเทศหนึ่ง
เนื่องจาก เป็นการส่งคำสั่งซื้อขาย นอกตลาดหลักทรัพย์ หรือที่เรียกว่า OTC (Over the Counter)
ทำให้ผู้ได้รับคำสั่งซื้อทราบทันทีว่า นี่คือการกดผิด และคำสั่งซื้อนี้ก็ถูกปิดไป
แต่ถึงอย่างนั้น เทรดเดอร์อีกคนจากบริษัทหลักทรัพย์ Mizuho ไม่ได้โชคดีอย่างนั้น
โดยในวันที่ 8 ธันวาคม 2005 เทรดเดอร์ของ Mizuho คนนี้ ตั้งใจที่จะขายหุ้น J-Com
บริษัทจัดหางานแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ในราคา 610,000 เยน ต่อ 1 หุ้น
(ประมาณ 158,000 บาท ในปัจจุบัน)
แต่เขากลับส่งคำสั่งออกไปว่า ให้ทำการขายหุ้น J-Com
จำนวน 610,000 หุ้น ในราคา 1 เยน (ประมาณ 25 สตางค์ ในปัจจุบัน)
ส่งผลให้บริษัท ต้องขาดทุนอย่างยับเยินในทันที
จากการเทรดในครั้งนี้ กว่า 27,000 ล้านเยน
หรือคิดเป็นเงินไทยในตอนนี้ เท่ากับ 7,000 ล้านบาท เลยทีเดียว..
นอกจากนั้น การขายหุ้นมูลค่ามากขนาดนี้ ยังทำให้ตลาดหุ้นของญี่ปุ่น
เกิดความแตกตื่นอย่างหนัก จนนักลงทุนต่างพากันขายหุ้น ตาม ๆ กัน
เป็นเหตุให้ดัชนี Nikkei 225 ในวันนั้น ปรับตัวลงเกือบ 2%
แน่นอนว่าเทรดเดอร์คนนี้ ได้ถูกไล่ออก อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่นอกจากเขาแล้ว ยังมีประธานตลาดหลักทรัพย์, หัวหน้าฝ่าย IT และผู้บริหารระดับสูง ของตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ต้องลาออกเพื่อรับผิดชอบจากการที่ไม่สามารถ หยุดยั้งความเสียหาย จากการเทรดที่ผิดปกตินี้ได้
ทำให้ในเวลาต่อมา ตลาดหุ้นต่าง ๆ ทั่วโลก ต้องเริ่มพัฒนาเทคโนโลยี
ในการตรวจจับ คำสั่งซื้อขายหุ้น ที่ผิดปกติเหล่านี้ อย่างจริงจัง
เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ต่อบริษัทหลักทรัพย์ และตลาดหุ้นโดยรวม
และเรื่องนี้เองก็ได้สอนเราว่า ให้มีสติในการกดซื้อขายหุ้นทุกครั้งเสมอ
เพราะเพียงแค่เสี้ยววินาที ที่เรากดผิดไปนั้น ก็อาจทำให้เราเสียเงิน
เป็นจำนวนมากได้ โดยไม่สามารถกลับไปแก้ไข อะไรได้เลย..
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.