ทำไมตลาดของใช้เด็ก ถึงมีโอกาสเติบโตได้ แม้เด็กเกิดน้อยลง

ทำไมตลาดของใช้เด็ก ถึงมีโอกาสเติบโตได้ แม้เด็กเกิดน้อยลง

5 ก.ย. 2022
ตั้งแต่ปี 1967 เป็นต้นมา อัตราการเกิดของโลก ก็ลดต่ำลงเรื่อย ๆ จากที่แต่ก่อนเฉลี่ยแล้ว คนเราจะมีลูกมากถึง 5 คน แต่ตอนนี้ตัวเลขดังกล่าว ลดลงเหลือเพียงแค่ประมาณ 2 คนเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบเอเชียตะวันออก และยุโรป ที่มีอัตราการเกิดต่ำมาก อยู่ที่ 1.8 และ 1.5 ตามลำดับ
เมื่อดูจากจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงมากเช่นนี้ หลาย ๆ คนก็คงจะมองว่าธุรกิจเสื้อผ้าเด็ก และของใช้เด็กนั้น น่าจะได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ผลการสำรวจตลาด กลับมองว่าตลาดของใช้เด็กนั้น จะยังมีการเติบโตต่อไปได้อีก ใน 5 ปีข้างหน้า
และถ้าหากคุณสงสัยว่าทำไมเป็นเช่นนี้ ?
BillionMoney จะย่อยให้เข้าใจ
จากข้อมูลการสำรวจตลาดของ Statista ได้ประมาณการว่า การเติบโตของตลาดของใช้เด็ก ในปี 2022-2026 หรืออีก 5 ปีข้างหน้าของ 2 ภูมิภาค ที่มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดของโลก อย่างเอเชียตะวันออก และยุโรป จะมีการเติบโตได้ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว โดยจะเห็นได้จากข้อมูลต่อไปนี้
ภูมิภาคเอเชียตะวันออก
ตลาดเสื้อผ้าเด็ก คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5% ต่อปี
ตลาดสกินแคร์เด็ก คาดว่าจะเติบโตประมาณ 7.5% ต่อปี
ตลาดอาหารเด็ก คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5.8% ต่อปี
ภูมิภาคยุโรป
ตลาดเสื้อผ้าเด็ก คาดว่าจะเติบโตประมาณ 6.5% ต่อปี
ตลาดสกินแคร์เด็ก คาดว่าจะเติบโตประมาณ 4.8% ต่อปี
ตลาดอาหารเด็ก คาดว่าจะเติบโตประมาณ 4.6% ต่อปี
เหตุผลที่ตลาดของใช้เด็กยังเติบโตได้ ในขณะที่เด็กเกิดน้อยลงเรื่อย ๆ ก็เพราะว่า ถึงแม้เด็กจะเกิดน้อยลง แต่เด็กที่เกิดมานั้น จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีที่สุดและมีคุณภาพ จากการที่พ่อแม่หลาย ๆ คนในสมัยนี้ ต่างก็ “มีลูกเมื่อพร้อม”
นั่นจึงทำให้พ่อแม่มีแนวโน้ม ที่จะยอมซื้อของใช้เด็กที่ราคาแพงขึ้น แต่มีคุณภาพสูง รวมทั้งเพิ่มการซื้อของใช้เด็กให้มากขึ้น เพื่อที่จะดูแลลูกให้ดีที่สุด จึงส่งผลให้ตลาดของใช้เด็กเติบโตได้มากอย่างที่เห็น
นอกจากนี้ ข้อมูลของ Statista ข้างต้น ยังแสดงให้เห็นค่านิยมที่แตกต่างของพ่อแม่ใน 2 ภูมิภาคนี้ด้วย โดยจะเห็นได้ว่า ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกนั้น จะเน้นไปที่การซื้อของกินและของใช้สำหรับเด็ก เช่น สกินแคร์ และอาหาร ในขณะที่ทางฝั่งยุโรปจะเน้นเรื่องการแต่งกายของเด็กมากกว่า
การที่ฝั่งเอเชียตะวันออกเน้นไปที่เรื่องของกินมากกว่า ก็เนื่องมาจากการที่วัฒนธรรมของเอเชีย เช่น ประเทศจีน นั้น มองว่าการที่เด็กมีร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ หมายความว่า เด็กมีสุขภาพดี ทำให้พ่อแม่ชาวเอเชีย มีแนวโน้มที่จะยอมซื้ออาหารที่มีคุณภาพจำนวนมาก แม้จะราคาแพง ก็เพื่อให้ลูกได้กินอาหารที่ดีที่สุด
นอกจากนี้ ปัจจัยทางเศรษฐกิจอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ตลาดของกินและของใช้สำหรับเด็กเติบโตมาก ในเอเชียตะวันออก ก็คือภูมิภาคเอเชียตะวันออกนั้น เป็นประเทศที่ผู้หญิงออกไปทำงานเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยผู้หญิงกว่า 59% ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกอยู่ในตลาดแรงงาน ทำให้คุณแม่ชาวเอเชีย ไม่มีเวลาให้นมกับลูกมาก จึงต้องหาอาหารสำหรับเด็ก มาทดแทนการให้นม
ส่วนในยุโรปนั้น ประเทศส่วนใหญ่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้พ่อแม่มีกำลังซื้อสูง และการมีสวัสดิการสังคมค่อนข้างดี ทำให้คุณแม่ชาวยุโรปสามารถดูแลลูกได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องออกไปดิ้นรนทำงานมาก พ่อแม่ชาวยุโรปจึงสามารถใส่ใจกับการแต่งกายของลูกได้มากกว่า
แสดงให้เห็นจากจำนวนเงินที่พ่อแม่ชาวยุโรปจ่ายให้กับค่าเสื้อผ้าเด็กนั้น คิดเป็นสองเท่าของพ่อแม่ชาวเอเชีย
นอกจากนี้ มูลค่าเสื้อผ้าเด็กที่ยุโรปนำเข้ามานั้น ก็สูงมากถึง 266,095 ล้านบาท ในปี 2021 โดยคิดเป็นการเติบโตจากปี 2020 มากถึง 14% เลยทีเดียว โดยเทรนด์ที่เป็นที่นิยมของพ่อแม่ชาวยุโรปคือ เสื้อผ้าเด็กแบบออร์แกนิก และเสื้อผ้าเด็กที่เข้าชุดกับพ่อแม่ หรือที่เรียกว่า “Mini-Me”
จากข้อมูลทั้งหมด สามารถสรุปได้ว่า แม้พ่อแม่จะมีลูกน้อยลง แต่ในทางกลับกัน การที่มีลูกเพียงไม่กี่คนนั้น ก็ทำให้พ่อแม่สามารถทุ่มเงินได้มากขึ้น เพื่อดูแลความเป็นอยู่ของลูกให้ดีที่สุด ซึ่งเปิดโอกาสให้สินค้าเด็กคุณภาพสูง สามารถเข้ามาตีตลาดพ่อแม่ในยุคปัจจุบันนี้ได้ แม้จะมีราคาแพงกว่าสินค้าทั่วไปในตลาด
ซึ่งสิ่งนี้เองก็แสดงให้เห็นว่า แม้อัตราการเกิดของเด็กที่ลดลง ดูเหมือนจะเป็นวิกฤติของธุรกิจสินค้าเด็ก แต่ถ้าหากมองเห็นโอกาสและช่องทางในวิกฤติ ก็สามารถทำให้ธุรกิจ ที่เหมือนจะอยู่ในช่วงขาลง สามารถเติบโตต่อไปได้..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
ข้อมูลของ Statista ได้ประมาณการว่า ตลาดเสื้อผ้าเด็กของประเทศไทย ในปี 2022-2026 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3.4% ต่อปี ในขณะที่ตลาดสกินแคร์เด็ก และอาหารเด็ก คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5% และ 5.3% ต่อปี ตามลำดับ
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.