หลายคนมักมองว่าการบริหารเศรษฐกิจระดับประเทศ
เป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าที่จะเข้าใจสำหรับคนทั่วไป
แถมอาจมีการคำนวณตัวเลขที่ซับซ้อนเต็มไปหมด

เข้าใจนโยบายเศรษฐกิจง่าย ๆ ด้วยทฤษฎีลูกโป่ง 3 สูบ
2 ก.ย. 2022
วันนี้ เราลองมารู้จักกับทฤษฎีลูกโป่ง 3 สูบ ที่คิดค้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวไทย
ซึ่งสามารถนำมาอธิบายนโยบายการดำเนินเศรษฐกิจระดับประเทศ
ผ่านการมองลูกโป่งใบเดียว
ซึ่งสามารถนำมาอธิบายนโยบายการดำเนินเศรษฐกิจระดับประเทศ
ผ่านการมองลูกโป่งใบเดียว
ใครกันที่คิดค้นทฤษฎีนี้
แล้วเราจะมองเศรษฐกิจผ่านลูกโป่งได้อย่างไร ?
BillionMoney จะมาอธิบายในฉบับเข้าใจง่าย ๆ
แล้วเราจะมองเศรษฐกิจผ่านลูกโป่งได้อย่างไร ?
BillionMoney จะมาอธิบายในฉบับเข้าใจง่าย ๆ
ทฤษฎีลูกโป่ง 3 สูบ เป็นแนวคิดที่มองภาพการบริหารเศรษฐกิจระดับประเทศที่ซับซ้อน ให้ออกมาเป็นภาพอย่างง่าย คิดค้นโดย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
แนวคิดนี้เป็นการเปรียบเทียบระบบเศรษฐกิจทั้งหมดเป็นลูกโป่ง 1 ใบ
ซึ่งมีท่อลมเชื่อมไปยังลูกสูบ 3 ลูก ที่คอยควบคุมลมในลูกโป่งใบนั้น
ซึ่งมีท่อลมเชื่อมไปยังลูกสูบ 3 ลูก ที่คอยควบคุมลมในลูกโป่งใบนั้น
โดยลมในลูกโป่งใบนั้น ก็คือ “ปริมาณเงิน” ที่ไหลเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจ
วัดจากมูลค่าของธนบัตรที่ออกใช้ เงินฝากกระแสรายวัน และเงินฝากออมทรัพย์
วัดจากมูลค่าของธนบัตรที่ออกใช้ เงินฝากกระแสรายวัน และเงินฝากออมทรัพย์
หากมีเงินไหลเข้าสู่ระบบ ก็เหมือนเป็นการปั๊มลมเข้าไปในลูกโป่ง ลูกโป่งจะขยายใหญ่ขึ้น
หากมีเงินไหลออกจากระบบ ก็จะเสมือนเป็นการดูดลมออกจากลูกโป่ง ลูกโป่งก็จะแฟบลง
หากมีเงินไหลออกจากระบบ ก็จะเสมือนเป็นการดูดลมออกจากลูกโป่ง ลูกโป่งก็จะแฟบลง
โดยลูกสูบทั้ง 3 ลูกก็จะเป็นเหมือนช่องทางการเข้าออกของเงิน ที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ แบ่งออกเป็น
1.ลูกสูบการคลัง จะปั๊มลมเข้าสู่ลูกโป่ง ถ้าหากว่ารัฐบาลมีรายจ่ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
เช่น ลงทุนโครงการต่าง ๆ หรือใช้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
เช่น ลงทุนโครงการต่าง ๆ หรือใช้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
และจะดูดลมออก หากว่ารัฐบาลมีการเก็บรายได้จากระบบเศรษฐกิจ เช่น เก็บภาษี
2.ลูกสูบการเงินภายในประเทศ จะปั๊มลมเข้าสู่ลูกโป่ง หากมีการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบ
และจะดูดลมออก หากมีการลดสินเชื่อ
และจะดูดลมออก หากมีการลดสินเชื่อ
3.ลูกสูบการเงินระหว่างประเทศ จะปั๊มลมเข้าสู่ลูกโป่ง หากมีการนำเงินเข้าประเทศ
และจะดูดลมออก หากมีการนำเงินออกนอกประเทศ
และจะดูดลมออก หากมีการนำเงินออกนอกประเทศ
โดยแนวคิดนี้บอกว่า ลูกสูบทั้ง 3 ลูก จะต้องทำงานร่วมกันอย่างสมดุล
หากลูกสูบลูกใดลูกหนึ่ง ปั๊มลมเข้าสู่ลูกโป่งมากเกินไป
ลูกสูบที่เหลือก็ต้องคอยดูดลมออกมา เพื่อไม่ให้ลูกโป่งแตก
หากลูกสูบลูกใดลูกหนึ่ง ปั๊มลมเข้าสู่ลูกโป่งมากเกินไป
ลูกสูบที่เหลือก็ต้องคอยดูดลมออกมา เพื่อไม่ให้ลูกโป่งแตก
ซึ่งลูกสูบทั้ง 3 ลูกนี้ จะถูกควบคุมผ่านนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง
โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะมีทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง
โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะมีทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง
เพื่อให้ปริมาณเงินในระบบอยู่ในระดับที่เหมาะสม เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ ค่าเงินไม่ผันผวน
เงินไม่เฟ้อหรือฝืดจนเกินไป ซึ่งในแต่ละสถานการณ์ อาจจะมีรูปแบบของการสูบลมที่แตกต่างกัน
เงินไม่เฟ้อหรือฝืดจนเกินไป ซึ่งในแต่ละสถานการณ์ อาจจะมีรูปแบบของการสูบลมที่แตกต่างกัน
คำถามต่อมาคือ แล้วลูกโป่งควรจะขยายใหญ่แค่ไหนถึงจะดี ?
ในหลักการของแนวคิดนี้ มองว่าการขยายตัวของลูกโป่ง จะต้องสมดุลกับการขยายตัวของ GDP
โดยทั่วไปจะมองว่าปริมาณเงินในระบบ ควรเติบโตมากกว่า GDP ประมาณ 2-3%
เพื่อไม่ให้เงินเฟ้อหรือฝืดจนเกินไป
โดยทั่วไปจะมองว่าปริมาณเงินในระบบ ควรเติบโตมากกว่า GDP ประมาณ 2-3%
เพื่อไม่ให้เงินเฟ้อหรือฝืดจนเกินไป
ถ้าหากมองย้อนกลับไป ที่วิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 1997 ผ่านแนวคิดลูกโป่ง 3 สูบนี้
จะพบว่าในตอนนั้น เรามีการกู้เงินจากต่างประเทศมากจนเกินไป เนื่องจากนโยบายเปิดเสรีทางการเงิน
อีกทั้งดอกเบี้ยในประเทศ สูงกว่าต่างประเทศค่อนข้างมาก
อีกทั้งดอกเบี้ยในประเทศ สูงกว่าต่างประเทศค่อนข้างมาก
เท่ากับว่าลูกสูบการเงินระหว่างประเทศ กำลังปั๊มลมเข้าสู่ลูกโป่งอย่างหนัก
ทางด้านลูกสูบการเงินภายในประเทศ ก็กำลังปั๊มลมเข้าสู่ลูกโป่งเช่นเดียวกัน
ผ่านการปล่อยสินเชื่อแบบหละหลวมของธนาคาร จนทำให้เกิดหนี้เสียเป็นจำนวนมาก
ผ่านการปล่อยสินเชื่อแบบหละหลวมของธนาคาร จนทำให้เกิดหนี้เสียเป็นจำนวนมาก
และสุดท้าย ลูกสูบการคลัง ก็ปั๊มลมเข้าสู่ลูกโป่งเช่นกัน ผ่านการออกนโยบายต่าง ๆ
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมุ่งหวังให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาค
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมุ่งหวังให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในขณะนั้น ไม่ได้เติบโตดีเท่าที่ควร
แถมการส่งออกก็เริ่มลดลง ในขณะที่หนี้ภาคเอกชนก็เริ่มสูงขึ้น
แถมการส่งออกก็เริ่มลดลง ในขณะที่หนี้ภาคเอกชนก็เริ่มสูงขึ้น
จนในที่สุดลูกโป่งใบนั้นก็ได้แตกออก และเราก็เจอเข้ากับวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง”
ถึงตรงนี้ เราก็น่าจะเข้าใจการบริหารเศรษฐกิจ ผ่านทฤษฎีแนวคิดลูกโป่ง 3 สูบไม่มากก็น้อย
ซึ่งมันก็น่าจะทำให้เราเห็นภาพในมุมกว้าง ๆ ว่าแต่ละประเทศมีเครื่องมือในการควบคุมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอะไรบ้าง
ซึ่งมันก็น่าจะทำให้เราเห็นภาพในมุมกว้าง ๆ ว่าแต่ละประเทศมีเครื่องมือในการควบคุมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอะไรบ้าง
รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น
หากเราเร่งเติมลม ดูดลมออกอย่างไม่สมดุล หรือรุนแรงจนเกินไป
ลูกโป่ง หรือเศรษฐกิจของเรา ก็อาจจะแฟบ หรือแตกออก ได้ทุกเมื่อเหมือนกัน..
หากเราเร่งเติมลม ดูดลมออกอย่างไม่สมดุล หรือรุนแรงจนเกินไป
ลูกโป่ง หรือเศรษฐกิจของเรา ก็อาจจะแฟบ หรือแตกออก ได้ทุกเมื่อเหมือนกัน..